60 ปี James Bond: ภาพยนตร์สายลับที่ก่อกำเนิดสัญลักษณ์แห่งเรือนเวลาของ OMEGA

21 ก.ย. 2024

60 ปี James Bond: ภาพยนตร์สายลับที่ก่อกำเนิดสัญลักษณ์แห่งเรือนเวลาของ OMEGA - Cortina Watch Thailand

วันที่ 5 ตุลาคม 1962 หนึ่งในคาแร็กเตอร์ที่เป็นสัญลักษณ์ของวงการภาพยนตร์ปรากฎตัวบนจอฉายเป็นครั้งแรก จากจุดเริ่มต้นในวันนั้น แฟรนไชส์หนังสายลับ James Bond ได้ออกปฏิบัติภารกิจต่อเนื่องตลอด 60 ปี เรื่องราวจากนิยายของ Ian Fleming ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์แอคชั่น 25 ตอนภายใต้การดูแลของ EON Productions พร้อมวางรากฐานเพื่อสืบทอดมรดกชิ้นสำคัญนี้ให้กับวงการภาพยนตร์โลก

ทุกคนต่างมีความประทับใจ James Bond ที่แตกต่างกัน แต่สำหรับ OMEGA ยังคงมีความชื่นชอบพิเศษกับ GoldenEye ที่ออกฉายเมื่อปี 1995 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่สายลับเจ้าของรหัส 007 สวมนาฬิกา OMEGA บนข้อมือ ภารกิจนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นความร่วมมือด้านนวัตกรรม และสไตล์ที่ยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน โดย James Bond มีความเปลี่ยนแปลงบนจอภาพยนตร์ตามยุคสมัยเช่นเดียวกับนาฬิกา OMEGA ที่เขาสวมใส่

หลังจาก James Bond ของ Pierce Brosnan นักแสดงที่ถูกเลือกมารับบทสายลับ 007 คนต่อมาคือ Daniel Craig ที่สร้างผลงานเป็นที่จดจำตลอดทั้ง 5 ภาค และเขายังทำหน้าที่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ OMEGA ตลอดช่วงเวลาที่รับบท Bond จนกลายเป็นแฟนตัวจริงของแบรนด์ รวมถึงนักแสดงสาวที่ร่วมงานกับเขา Naomie Harris เจ้าของบท Moneypenny (Skyfall, Spectre และ No Time To Die) เป็นอีกคนที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว OMEGA เพื่อเป็นตัวแทนนำเสนอความสง่างาม รวมทั้งสัญลักษณ์พลังหญิงทั้งในจอ และนอกจอภาพยนตร์

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการที่ Lindy Hemming เจ้าของรางวัลออสการ์ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยมที่เข้ามาร่วมงานใน Bond 5 ภาคตั้งแต่ GoldenEye (1995) จนมาถึง Casino Royale (2006) เสนอให้ 007 ต้องใส่นาฬิกา OMEGA โดยเธอพูดถึงเหตุผลที่ตัดสินใจเลือก Seamaster มาใช้ในการถ่ายทำ “ฉันเชื่อว่า Bond ซึ่งมียศนาวาโท มีความเป็นทหารเรือในสายเลือด, นักประดาน้ำ และสุภาพบุรุษที่มีบุคลิกสุขุมรอบคอบบนโลกใบนี้คงจะเลือกนาฬิกาเรือนนี้”

Hemming เลือกได้ถูกต้องกับการสร้างความเกี่ยวข้องระหว่าง OMEGA กับกองทัพเรือสหราชอาณาจักร หลังจากผู้ผลิตนาฬิกาสัญชาติสวิสเคยมีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับกระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักร ด้วยการส่งมอบนาฬิกา 10,000 เรือนให้กับนักบิน, ฝ่ายต้นหนประจำเรือ และทหารประจำกองทัพสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

นาฬิกา Seamaster 300 เรือนแรกเปิดตัวเมื่อปี 1957 โดยสร้างขึ้นเพื่อนักประดาน้ำของกองทัพทั่วโลก และในปี 1967 เจเนอเรชั่นที่ 2 Seamaster 300s ที่มีชื่อเสียงถูกส่งมอบให้กระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักรเพื่อใช้ในหน่วยงานต่างๆ และทำให้มีเหตุผลรองรับที่น่าเชื่อถือว่านาวาโท Bond จะได้รับมอบนาฬิกา OMEGA ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น

GoldenEye (1995) - OMEGA Seamaster 300M Quartz

GoldenEye (1995) - OMEGA Seamaster 300M Quartz

Bond มีการใช้อาวุธเลเซอร์ที่อยู่ในนาฬิกา Seamaster ตัดพื้นขบวนรถไฟของ Alex Trevelyan ผู้ร้ายประจำภาคนี้เพื่อหลบหนี หลังจากนั้นที่คิวบา Trevelyan ชิงนาฬิกาเรือนนี้มาได้ และใช้วาล์วระบายก๊าซฮีเลียมเพื่อทำลายทุ่นระเบิด 2 ลูกที่ 007 วางเป็นกับดักเอาไว้

Tomorrow Never Dies (1997) - OMEGA Seamaster 300M Chronometer

Tomorrow Never Dies (1997) - OMEGA Seamaster 300M Chronometer

ในภาคนี้ Bond ใส่นาฬิกา Seamaster 300M ที่ถูกดัดแปลงในร้านจักรยานของสายลับ Wai Lin โดยมีการใช้วาล์วระบายฮีเลียมระหว่างลอบขึ้นเรือสเตลธ์ของ Elliot Carver เจ้าพ่อสื่อที่เป็นผู้วางแผนการร้าย ก่อนที่ 007 จะใช้นาฬิกาเป็นตัวควบคุมระยะไกลสั่งให้ระเบิดมือที่ถูกเก็บขวดแก้วทำงานจนทำให้เรือเสียหายอย่างหนัก

The World Is Not Enough (1999) - OMEGA Seamaster 300M Chronometer

The World Is Not Enough (1999) - OMEGA Seamaster 300M Chronometer

ในฉากที่ Bond และ Elektra King ถูกฝังอยู่ใต้หิมะถล่ม สายลับ 007 กดปุ่มบนเม็ดมะยมเพื่อเปิดสัญญาณไฟ LED บนนาฬิกา Seamaster และทำให้เสื้อแจ็คเก็ตสกีของเขาเรืองแสง จากนั้นในหลุมหลบภัยนิวเคลียร์ Bond ใช้นาฬิกายิงหมุดเหล็กยึดเพดานพร้อมลวดที่มีความแข็งแรงสูงเพื่อดึงตัวเองขึ้นไปจัดการผู้ร้ายที่อยู่ด้านบน

Die Another Day (2002) - OMEGA Seamaster 300M Chronometer

Die Another Day (2002) - OMEGA Seamaster 300M Chronometer

เป็นอีกครั้งที่วาล์วระบายฮีเลียมบนนาฬิกา Seamaster มีบทบาทในหนัง Bond โดยครั้งนี้ถูกใช้เป็นตัวจุดชนวนระเบิด C4 ที่ซ่อนไว้ข้างใต้เพชรในกระเป๋าเอกสารของ Van Bierk ก่อนที่จะสั่งระเบิดให้ทำงานในค่ายทหารเกาหลีเหนือของพันเอก Moon หลังจาก 007 ถูกปล่อยตัวจากการถูกจับเป็นเชลย Q นักประดิษฐ์อาวุธคู่ใจได้มอบนาฬิกาเรือนใหม่ที่ติดตั้งเลเซอร์ ก่อนที่เขาจะนำมาใช้เจาะปราสาทน้ำแข็งเพื่อช่วยเหลือ Jinx ออกมา

Casino Royale (2006) - OMEGA Seamaster Diver 300M Co-Axial Chronometer

Casino Royale (2006) - OMEGA Seamaster Diver 300M Co-Axial Chronometer

เพื่อให้สอดคล้องกับเรื่องราวก่อนที่ Bond จะกลายเป็นสายลับเจ้าของรหัส 00 เขาจะใส่นาฬิกาที่แตกต่างกัน 2 เรือน โดยเรือนแรกจะเป็นโมเดลสปอร์ตสีดำ Seamaster Planet Ocean 600M จากนั้นพอเขาได้รับสถานะ 00 มีการเปลี่ยนมาใส่ Seamaster Diver 300M

Quantum Of Solace (2008) - OMEGA Seamaster Planet Ocean

Quantum Of Solace (2008) - OMEGA Seamaster Planet Ocean

สำหรับนาฬิกา Bond เรือนนี้ยังคงเป็นแบบสปอร์ต Seamaster Planet Ocean 600M Co-Axial Chronometer โดยหน้าปัดเป็นโทนสีดำ

Skyfall (2012) - Seamaster Aqua Terra 150M

Skyfall (2012) - Seamaster Aqua Terra 150M

เป็นอีกตอนหนึ่งที่ Bond ใส่นาฬิกา OMEGA Seamaster 2 รุ่นที่แตกต่างกัน ในช่วงแรกที่ปฏิบัติภารกิจในเมืองอิสตันบูล บนข้อมือของเขาจะเป็นนาฬิกาสไตล์สปอร์ต Planet Ocean 600M ตัวเรือนขนาด 42 มม. หน้าปัด และขอบตัวเรือนสีดำ จากนั้นเขาถึงเปลี่ยนมาใส่ Aqua Terra หน้าปัดสีน้ำเงิน

Spectre (2015) OMEGA - Seamaster 300 “Spectre” Limited Edition

Spectre (2015) OMEGA - Seamaster 300 “Spectre” Limited Edition

หลังจากใช้งาน Seamaster Aqua Terra ในภาคก่อน Bond ได้รับนาฬิกา Seamaster 300 จาก Q พร้อมกับแจ้งว่ารถ Aston Martin DB10 ของเขาจะถูกส่งให้สายลับคนอื่นใช้งาน และนาฬิกาเรือนนี้กลายเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วย 007 จากการถูกจับมัดทรมานบนเก้าอี้ หลังจากปลดนาฬิกาส่งให้ Madeleine พร้อมกล่าวคำภาษาละติน ‘Tempus Fugit’ ที่มีความหมายว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เธอโยนนาฬิกาไปที่กลุ่มคนร้ายก่อนจะระเบิดช่วยสร้างโอกาสให้พวกเขาหลบหนีออกมาได้

No Time To Die (2021) - OMEGA Seamaster Diver 300M 007 Edition

No Time To Die (2021) - OMEGA Seamaster Diver 300M 007 Edition

Q ดัดแปลงนาฬิกา Seamaster Diver 300M ให้กับ Bond ระหว่างบินไปที่ฐานลับของ Safin โดยติดตั้งอุปกรณ์ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในระยะจำกัดที่ถูกออกแบบเพื่อทำลายวงจรอุปกรณ์ไฟฟ้า Bond ใช้งานครั้งแรกเพื่อลอบเข้าฐานของ Safin ก่อนจะเป็นอาวุธสำคัญเพื่อจัดการ Primo ทหารรับจ้างที่มีดวงตาจักรกล Bionic

เปิดตัวนาฬิการ่วมฉลอง 60 ปี ภาพยนตร์ James Bond

เปิดตัวนาฬิการ่วมฉลอง 60 ปี ภาพยนตร์ James Bond

เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 60 ปีของแฟรนไชส์ James Bond มีการสร้างสรรค์นาฬิการุ่นใหม่ 2 โมเดลจาก OMEGA โดยแสดงความเคารพต่อคาแร็กเตอร์สายลับที่ครองใจผู้ชมทั่วโลกด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย และวัสดุชั้นยอด – พร้อมสัมผัสของเวทมนตร์แห่งโลกภาพยนตร์ที่แฝงอยู่ในการออกแบบ

Seamaster Diver 300M 60 Years of James Bond – ตัวเรือนเหล็กสแตนเลสสตีล

Seamaster Diver 300M 60 Years of James Bond – ตัวเรือนเหล็กสแตนเลสสตีล

แรงบันดาลใจที่ใกล้เคียงกับ Seamaster ที่สวมอยู่บนข้อมือ 007 ในภาค GoldenEye ตัวเรือนเหล็กสแตนเลสสตีลขนาด 42 มม. ถูกเติมแต่งความมหัศจรรย์จากช่างทำนาฬิกาของแบรนด์ ด้วยการจำลองฉากเปิดที่เป็นเอกลักษณ์ของหนัง 007 ลงบนฝาหลังตัวเรือน – ภาพเงาของ Bond ในเกลียวโค้งที่เหมือนลำกล้องปืน ฉากสำคัญนี้อยู่ภายใต้กระจกแซฟไฟร์ที่ตกแต่งด้วยการเคลือบโลหะแบบ Metallisation ที่จะเข้าถึงทุกรายละเอียด พร้อมสร้างภาพเคลื่อนไหวแบบ “Moiré” ที่กำลังอยู่ระหว่างยื่นจดสิทธิบัตร โดยเชื่อมโยงกับการทำงานของเข็มวินาทีทรง Lollipop ตรงกลาง เหมือนฉากแอ็คชั่นที่ไม่เคยหยุดนิ่ง

นาฬิการุ่นนี้ขับเคลื่อนอย่างเที่ยงตรงด้วยกลไก Co-Axial Master Chronometer Calibre 8806 และเพิ่มความโดดเด่นด้วยสายโลหะถัก – เป็นสไตล์เดียวกับนาฬิกา OMEGA ของ James Bond ในภาค No Time To Die

ขอบตัวเรือน และหน้าปัดสีน้ำเงินเป็นอะลูมิเนียมที่ผ่านขั้นตอนการเคลือบผิวป้องกันการผุกร่อน (Oxalic Anodized) ใช้เลเซอร์แกะสลักลายคลื่นบนหน้าปัด ขอบตัวเรือนมีสเกลวัดการดำน้ำเคลือบสารเรืองแสง Super-LumiNova และในโอกาสฉลองครบรอบมีการใช้เลข “60” แทนสามเหลี่ยมคว่ำแบบดั้งเดิมของมาตรวัดการดำน้ำ พร้อมเคลือบสารเรืองแสงสีเขียวเหมือนเข็มนาที

สำหรับนักสะสมนาฬิกาเวอร์ชั่นตัวเรือนโลหะมีการจัดทำกล่องไม้สีน้ำเงินลายคลื่นแบบดั้งเดิมของ Diver 300M พร้อมวงกลม 3 จุดที่ได้แรงบันดาลใจจากฉากเปิดเรื่องสุดคลาสสิกของ Bond รวมทั้งปุ่มกดลับทางด้านขวา
MEGA watch in No Time To Die.

Seamaster Diver 300M 60 Years of James Bond – ตัวเรือน Canopus Gold™

Seamaster Diver 300M 60 Years of James Bond – ตัวเรือน Canopus Gold™

OMEGA เลือกใช้ Canopus Gold™ 18K ในการสร้างตัวเรือนขนาด 42 มม. โดยวัสดุโลหะผสมทองคำขาวพิเศษที่พวกเขาคิดค้นขึ้นมาเองมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในการสร้างความแวววาว และความทนทานที่ยาวนาน

การถ่ายทอดความงดงามของหาดทรายหน้าบ้านพักของ Ian Fleming ในประเทศจาเมกา ซึ่งเขาตั้งชื่อว่า GoldenEye โดยหน้าปัดซิลิคอนสีเทาธรรมชาติ ทำให้ลวดลายบนหน้าปัดแต่ละเรือนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสามารถรับรองได้ว่าผู้ครอบครองนาฬิการุ่นพิเศษนี้จะไม่มีหน้าปัดที่เหมือนกันอย่างแน่นอน

นอกจากนี้เพื่อแสดงความเคารพในธงชาติจาเมกา ขอบตัวเรือนตกแต่งด้วยเพชรธรรมชาติสีเขียว และสีเหลืองตามโทนสีเขตร้อน โดย 10 เฉดสีที่แตกต่างไล่เรียงจากสีเขียวเข้มจนถึงสีน้ำตาล Cognac รวมทั้งสีเขียวมะกอก, สีเหลือง, สีทอง และสีทองผสมน้ำตาล พร้อมประดับเพชรบริสุทธิ์ในตำแหน่ง 12 นาฬิกา เพื่อเติมประกายให้ตัวเรือน และระลึกถึงการฉลองครบรอบ 60 ปีของภาพยนตร์ James Bond

เช่นเดียวกับตัวเรือนเหล็ก ฝาหลังเป็นการจำลองฉากเปิดคลาสสิกของ 007 – ภาพเงาของ Bond ในเกลียวโค้งที่เหมือนลำกล้องปืน รวมทั้งการทำงานของเข็มวินาทีทรง Lollipop ทั้งหมดนี้ถูกนำเสนอผ่านกระจกแซฟไฟร์ที่ตกแต่งด้วยการเคลือบโลหะ Metallisation และการสร้างภาพเคลื่อนไหว Moiré

นาฬิกาเรือนนี้ใช้ระบบกลไกที่มีความหรูหรา Co-Axial Master Chronometer Calibre 8807 พร้อมสายนาฬิกาแบบโลหะถัก และตัวล็อกสายที่ใช้วัสดุ Canopus Gold™ 18K

สำหรับผู้เป็นเจ้าของนาฬิการุ่นนี้จะได้รับกล่องที่ผลิตจากไม้ของต้นมะม่วงประดับด้วยเปลือกหอยมุก และโลโก้ครบรอบ 60 ปีของ James Bond โดยต้นมะม่วงเป็นความเชื่อมโยงกับเพลงประกอบที่โด่งดังของ James Bond ภาคแรก และเปลือกหอยมุกเป็นการสื่อถึงเกาะแครบคีย์ สถานที่สมมุติในเรื่อง รวมทั้งการใส่วงกลม 3 จุดบนกล่องที่หรูหราก็ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์

ค้นหาคอลเลคชั่นนาฬิกา Omega ที่ Cortina Watch Boutiques และผ่านช่องทางออนไลน์หรือติดต่อตัวแทนฝ่ายขายเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม