โดดเด่นเหนือใครในโลกใต้ท้องทะเล

Optimized 030.25x

 OMEGA ไม่ได้ถูกจดจำแค่การเป็นนาฬิกาเรือนแรกที่เดินทางไปถึงดวงจันทร์เท่านั้น แต่ในโลกใต้น้ำ นาฬิกาของพวกเขายังได้รับการจดจำว่าลงไปที่ระดับความลึกที่สุดของโลกด้วยเช่นกัน และองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการพัฒนานาฬิกาดำน้ำอย่างต่อเนื่องนับจากปี 1932 ได้ถูกสั่งสมและนำมาใช้ จนนำไปสู่การพัฒนาเรือนเวลาที่รองรับกับความต้องการของนักดำน้ำมืออาชีพ เช่นเดียวกับคนที่ชื่นชอบนาฬิกาดำน้ำ

         จุดเริ่มต้นแห่งการพัฒนา

         นับจากการเปิดตัวนาฬิการุ่น OMEGA Marine ออกสู่ตลาดในปี 1932 ถือว่าประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของแบรนด์ ในโลกของการดำน้ำได้เริ่มขึ้นแล้ว และนี่คือนาฬิกาดำน้ำเรือนแรกที่มีการผลิตขายให้กับนักดำน้ำที่เป็นคนทั่วไป ไม่ใช่เพื่อการใช้งานในกองทัพเหมือนกับที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

         หลังจากนั้นในปี 1948 คอลเล็กชั่น Seamaster ได้ถือกำเนิดขึ้นจากความหลงใหลของ OMEGA ที่มีต่อโลกใต้ท้องทะเล โดยนาฬิการุ่นนี้ได้รับการตอบรับจากลูกค้าถึงความยอดเยี่ยมในการใช้งานและประสิทธิภาพในการกันน้ำซึ่งนาฬิกายุคนั้นยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนของคอลเล็กชั่นเกิดขึ้นในปี 1957 เมื่อ OMEGA เปิดตัว Seamaster 300 ซึ่งเป็นนาฬิกาดำน้ำสำหรับนักดำน้ำมืออาชีพเรือนแรกของโลก พร้อมกับนำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมีการเปิดตัวนาฬิกาดำน้ำที่ถือเป็นที่สุดและมีรูปทรงที่ไม่เหมือนใครอย่าง Ploprof ที่สามารถกันน้ำได้ถึง 600 เมตร ตามด้วย Seamaster 1000 ในเวลาต่อมา ซึ่งนาฬิกาเหล่านี้ต่างได้รับการตอบรับจากนักดำน้ำมืออาชีพทั่วโลกและถูกทดสอบจากพวกเขาด้วยการใช้งานจริงจากการสำรวจหรือการผจญภัยของนักดำน้ำเหล่านี้

         ในปี 1995 ถือเป็นอีกครั้งที่ Seamaster สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับการเปิดตัวนาฬิการุ่น Seamaster Professional 300m ออกมา และนาฬิกาเรือนนี้เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกเพราะเป็นนาฬิกาที่ถูกสวมใส่โดยยอดสายลับชาวอังกฤษในภาพยนตร์เรื่อง James Bond ก่อนที่ในปี 2005 พวกเขาจะเปิดตัวอีกทางเลือกที่สปอร์ตขึ้นและสมรรถนะสูงขึ้นอย่าง Seamaster Planet Ocean

         มากกว่า 90 ปีที่ OMEGA ได้พัฒนานาฬิกาดำน้ำอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะได้รับการจดจำมากเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2019 เมื่อพวกเขาผลิตนาฬิกาดำน้ำที่สามารถลงไปได้ลึกที่สุดในโลก นั่นคือ Seamaster Ultra Deep ซึ่งเป็นนาฬิกาที่ถูกใช้โดยนักสำรวจ Victor Vescovo ในการลงไปสู่จุดที่ลึกที่สุดในโลกอย่าง Mariana Trench ในมหาสมุทรแปซิฟิก นาฬิกาเรือนนี้ได้รับการบันทึกว่าลงไปได้ลึกถึง 10,925 เมตร ก่อนที่จะมีการอัพเดทความลึกใหม่เป็น 10,935 เมตร ซึ่งเป็นจุดที่ยังไม่มีแม้แต่มนุษย์หรือนาฬิกาเรือนไหนลงไปได้ลึกขนาดนี้

         ที่สำคัญ OMEGA Seamaster Ultra Deep ไม่ได้เป็นแค่นาฬิกาที่ถูกสวมโดยมนุษย์อยู่ในยานใต้น้ำ แต่ยังถูกผูกนาฬิกาทั้งหมด 2 เรือนจากการผลิตทั้งหมด 3 เรือนเข้ากับแขนกลเพื่อออกไปเผชิญหน้ากับจุดที่ลึกที่สุดของโลก ในระหว่างการปฏิบัติงานด้วย ก่อนกลับสู่ยานหลังปฏิบัตินานถึง 12 ชั่วโมงโดยปราศจากรอยขีดข่วนหรือรอยแตก ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมในด้านเทคนิคการผลิตนาฬิกาดำน้ำของ OMEGA ที่มีความโดดเด่นและเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ

Omega 215.32.46.21.04.001 Pub 1024x717

จากห้องปฏิบัติการสู่ข้อมือคุณ

         ในปี 2022 OMEGA ได้ทำสิ่งที่สร้างแรงกระเพื่อมให้กับตลาดนาฬิกาดำน้ำทั่วโลก เมื่อทางแบรนด์ตัดสินใจเปิดตัวนาฬิกาดำน้ำรุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า Seamaster Planet Ocean Ultra Deep นี่ไม่ใช่แค่การนำชื่อของโปรเจ็กต์ทดสอบที่เกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้วมาใช้ แต่ยังนำเอาองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นมาใช้ในการพัฒนาเพื่อการสร้างสรรค์นาฬิกาดำน้ำที่ถือว่าเป็นที่สุดเท่าที่เคยมีการผลิตออกมาเพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้

         นาฬิกาเรือนนี้มีความสามารถในการกันน้ำ 6,000 เมตร โดยตัวเรือนของรุ่นจำหน่ายจริงจะได้รับการผลิตทั้งจากไทเทเนียม เกรด 5 หรือวัสดุใหม่ที่เรียกว่า O-MEGASTEEL ซึ่งเป็นวัสดุที่ถูกพัฒนาให้มีความทนทาน และทนทานต่อการกัดกร่อนจากการใช้งานทางทะเล ด้วยคุณสมบัติความทนทานที่เหนือกว่าสแตนเลสสตีล 316L อยู่ที่ 40-50% แต่มีน้ำหนักเบากว่าสตีลทั่วไป ซึ่งนาฬิกาทุกรุ่นจะมาพร้อมกับตัวเรือนที่มีขนาดใหญ่ถึง 45.5 มิลลิเมตร หนา 18.2 มิลลิเมตรและมีขายทั้งสายสตีล สายยาง และสายผ้า

         สำหรับรุ่นไทเทเนียมนั้นจะมีความพิเศษตรงที่ถูกออกแบบและสร้างสรรค์ตัวเรือนที่ดูคล้ายกับรุ่น Ultra Deep เรือนต้นแบบ ตัวเรือนมากับขาสายแบบหูกระทะที่เรียกว่า MANTA Lugs ซึ่งตัวขาสายจะมีความโค้งงอเข้าหากัน แต่จะเหลือช่องว่างเอาไว้สำหรับใช้ในการถอดเปลี่ยนสายออก ซึ่งรูปทรงลักษณะนี้คล้ายกับส่วนปากของปลากระเบน Manta โดยในรุ่นนี้จะมาพร้อมกับสาย NATO สีพิเศษ และสาย NATO ของนาฬิการุ่นนี้ได้รับการผลิตจากวัสดุที่มาจากกระบวนการรีไซเคิลจากขยะในท้องทะเล เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยต่อสภาพแวดล้อมของ OMEGA ที่มีต่อปัญหานี้

         ใต้กระจกหนาแบบ Sapphire ทรงโดมนั้นจะพบกับหน้าปัดที่มีให้เลือก 4 สี คือ สีดำ-เทาแบบ Gradient สีน้ำเงินแบบ Gradient สีขาว และเทาสำหรับรุ่นไทเทเนียม โดยชุดเข็มทั้งเข็มชั่วโมงและนาทีได้รับการผลิตจากทองคำขาว 18k และอินเสิร์ตที่เป็นสเกลสำหรับใช้ในการจับเวลาดำน้ำจะมากับกรรมวิธี Liquidmetal ที่เป็นเอกลักษณ์ของ OMEGA ส่วนฝาหลังมีความพิเศษในการสลักลวดลายเป็น Sonar Seamaster ที่มีสัญลักษณ์ของ Seamaster ล้อมรอบด้วยวงกลมเหมือนกับโซนาร์

         ทุกรุ่นจะมาพร้อมกับกลไกรหัส 8912 แบบอัตโนมัติพร้อม Co-Axial เดินด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง และมีความเที่ยงในระดับสูงกว่า Chronometer หรือที่เรียกว่า Master Chronometer ที่ผ่านการรับรองโดย METAS และสามารถสำรองกำลังงานได้ 60 ชั่วโมง ตัวใยนาฬิกาหรือ Balance Spring ผลิตจากซิลิคอน Si14 ทำให้มีความทนทานต่อสนามแม่เหล็กได้ในระดับ 15,000 Gauss

         แต่เหนืออื่นใดคือ ตัวเลขในการกันน้ำ 6,000 เมตรของนาฬิกาเรือนนี้ได้มาจากการทดสอบการทดสอบภายใต้การใช้งานจริงในปี 2021 บนความลึกระดับ 6,269 เมตรที่ Mariana Trench และนาฬิกาเรือนนี้ได้ผ่านมาตรฐานและข้อกำหนดในการเป็นนาฬิกาดำน้ำ ISO 6425 จึงมั่นใจได้ในเรื่องของการใช้งานที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ และเหมาะกับการดำน้ำทุกรูปแบบ ซึ่งก็รวมถึงการใช้งานใต้น้ำแบบอิ่มตัว หรือ Saturation Diving ซึ่งเป็นการใช้ชีวิตอยู่ในห้องใต้น้ำเป็นระยะเวลานานๆ

 4 1024x576

รายละเอียดทางเทคนิค : OMEGA Seamaster Planet Ocean Ultra Deep

เส้นผ่านศูนย์กลาง : 45.5 มิลลิเมตร

ความหนา : 18.2 มิลลิเมตร

ความกว้างขาสาย : 22 มิลลิเมตร

วัสดุตัวเรือน : สแตนเลสสตีล O-MEGASTEEL / ไทเทเนียม เกรด 5

กระจก : Sapphire ทรงโดม

กลไก :  8912 Co-Axial มีความเที่ยงตรงระดับ Master Chronometer โดย METAS

ความถี่ : 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง

กำลังสำรอง : 60 ชั่วโมง

การกันน้ำ : 6,000 เมตร

ทนต่อสนามแม่เหล็ก : 15,000 Gauss

ความคลาสสิคที่สะท้อนความงามผ่านหน้าปัด

         นอกจากนาฬิกาดำน้ำที่เน้นสมรรถนะแบบถึงขีดสุด และมาพร้อมกับตัวเรือนแบบสปอร์ตแล้ว ในคอลเล็กชั่น Seamaster ยังมีอีกทางเลือกในการนำเสนอความสวยและประณีตในรูปแบบของนาฬิกาเดรสส์สปอร์ตด้วย นั่นคือ Seamaster Aqua Terra ซึ่งในตอนนี้มีการเปิดตัวรุ่นใหม่ออกมา พร้อมกับการนำเสนอความงดงามของธรรมชาติทั้งบนบก และใต้น้ำผ่านทางสีสันของหน้าปัดที่สวยงาม

         ในรุ่นใหม่ที่เป็นเวอร์ชันปี 2022 จะมีจำหน่ายทั้งตัวเรือน 34 และ 38 มิลลิเมตร รวมกันแล้ว มากถึง 10 รุ่นย่อยซึ่งแบ่งออกเป็นตัวเรือนละ 5 รุ่นย่อยโดยคอนเซ็ปต์ในการนำเสนอของหน้าปัดหลากสีนั้นเป็นการแสดงให้เห็นถึงโทนสีที่สื่อถึงธรรมชาติตั้งแต่โลกใต้น้ำไปจนถึงภาคพื้นดิน

รุ่นตัวเรือนขนาด 38 มิลลิเมตรจะมีด้วยกัน 5 สีใหม่ คือ สีน้ำเงิน Atlantic Blue, สีเขียว Bay Green, สีน้ำตาลอ่อน Sandstone, สีเหลืองทอง Saffron และสีแดง Terracotta ขณะที่รุ่นตัวเรือน 34 มิลลิเมตรจะมากับ 5 สีใหม่เช่นกัน โดย 3 สีแรกจะคล้ายกันแต่มีชื่อเรียกต่างกัน คือ สีน้ำเงิน Sea Blue, สีเขียว Lagoon Green และสีน้ำตาลอ่อน Sandstone แต่ 2 สีหลังจะต่างกันออกไป ซึ่งในรุ่นตัวเรือน 34 มิลลิเมตรจะเป็นหน้าปัดสีชมพู Shell Pink และสีม่วงอ่อนแบบ Lavender Dial

หน้าปัดทั้งหมดถูกผลิตจาก Brass พร้อมกับการเคลือบแล็คเกอร์ และผ่านกรรมวิธีเคลือบสีหรือ PVD ลงไปเพื่อให้ได้สีตามที่ต้องการ ยกเว้นรุ่น Terracotta ที่ต้องใช้กรรมวิธีพิเศษที่เรียกว่า CVD (Chemical Vapour Deposition) ในรุ่นตัวเรือน 34 มิลลิเมตรของ OMEGA Seamaster Aqua Terra New Dial Shade ยังมีความพิเศษตรงที่หลักชั่วโมงและชุดเข็มถูกผลิตจากทองคำขาว 18K ขณะที่รุ่น 38 มิลลิเมตรชุดเข็มและหลักชั่วโมงจะถูกผลิตจาก Rhodium เพื่อความสวยงาม และหรูหรา

ทุกรุ่นมากับสายที่ผลิตจากสแตนเลสสตีลพร้อมกับการขัดเงาที่สอดรับกับตัวเรือน มีประกายที่สวยงามยามเมื่อส่องกระทบกับแสง และขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติในรหัส 8800 ซึ่งมีความทนทานต่อสนามแม่เหล็กในระดับ 15,000 เกาส์ เพราะใยนาฬิกาผลิตจากวัสดุที่เป็นซิลิคอนหรือ Si14 ตัวกลไกมีระดับของกำลังสำรองอยู่ที่ 55 ชั่วโมง และมีความสามารถในการกันน้ำ 150 เมตร

รายละเอียดทางเทคนิค : OMEGA Seamaster Aqua Terra

เส้นผ่านศูนย์กลาง : 34 / 38 มิลลิเมตร

วัสดุตัวเรือนและสาย : สแตนเลสสตีล

กระจก : Sapphire ทรงโดม

กลไก : อัตโนมัติ 8800 Co-Axial พร้อมความเที่ยงตรงระดับ Master Chronometer

กำลังสำรอง : 55 ชั่วโมง