นาฬิกาข้อมือสำหรับผู้หญิง นอกเหนือจะต้องทำหน้าที่หลักในด้านการบอกเวลาแล้ว อีกบทบาทที่ถือว่าแตกต่างจากนาฬิกาข้อมือสำหรับสุภาพบุรุษคือ นาฬิกาเรือนนั้นจะต้องรับหน้าที่อีกบทบาทในการเป็นเครื่องประดับได้ด้วย ดังนั้น งานออกแบบและความพิถีพิถันในการสร้างสรรค์จึงมีวัตถุประสงค์ที่เพิ่มขึ้น และนาฬิกาข้อมือสำหรับผู้หญิงมักจะมีดีไซน์ที่สวยงาม โดดเด่น เช่นเดียวกับการเลือกใช้ทั้งวัสดุอันล้ำค่า หรืออัญมณีต่างๆ มาช่วยเพิ่มความหรูหรา เช่นเดียวกับสีสันและความน่าสนใจเพื่อดึงดูดทุกสายตาเวลาที่นาฬิกาเรือนนั้นๆ ถูกสวมใส่อยู่บนข้อมือ
Franck Muller Vanguard Rose Skeleton Black Diamond
สิ่งที่น่าสนใจในนาฬิกาเรือนนี้มีอยู่ 2 เรื่องด้วยกันคือ ความยึดมั่นของทีมออกแบบในการคงดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Vanguard เอาไว้อย่างครบถ้วน แต่ถูกย่อส่วนลงมาเพื่อให้เหมาะสมกับขนาดข้อมือที่เล็กลงของสุภาพสตรี และอีกข้อหนึ่งคือ ความใส่ใจและการใช้เทคนิคการผลิตที่ช่วยแต่งเติมให้ นาฬิกาผู้หญิง Franck Muller Vanguard Rose Skeleton Black Diamond มีความสวยงามอย่างแท้จริง
Vanguard Rose Skeleton ถูกเผยโฉมออกมาเมื่อปี 2021 แต่สำหรับเรือนที่เห็นอยู่นี้คือ รุ่นใหม่ล่าสุดที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ ซึ่ง Franck Muller ได้นำความสวยงามอันมีชีวิตชีวาใหม่ด้วยการประดับตกแต่งอันเย้ายวนใจยิ่งขึ้น จากเทคนิคการเคลือบ พีวีดี (PVD) สีดำ บนตัวเรือนไวท์โกลด์และสะพานจักรกลไก เช่นเดียวกับการคงคอนเซ็ปต์ของการนำเสนอธรรมชาติที่รายล้อมโรงงาน Genthod ด้วยลวดลายใบไม้อันเขียวขจีที่ชูช่อจากสะพานจักรสเกเลตันของกลไก ผ่านการรังสรรค์ขึ้นด้วยมือของเหล่าศิลปินผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งในรุ่นใหม่ มีการประดับเพชรเจียระไนบริลเลียนต์คัตสีดำ 422 เม็ดไว้บนตัวเรือน และ อัญมณีเจียระไนบริลเลียนต์คัตอีก 75 เม็ดบนหน้าปัด
อย่างไรก็ตาม ในรุ่นใหม่นี้ถือเป็นงานที่มีความท้าทายมากขึ้น เพราะการประดับชิ้นส่วนอัญมณีบนตัวเรือน PVD สีดำไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จำเป็นจะต้องใช้ทั้งความชำนาญและความเชี่ยวชาญ โดยอัญมณีเหล่านี้จะต้องได้รับการเคลือบ ด้วยกรรมวิธีพิเศษทั้งก่อนและหลังการประดับตกแต่งลงในตำแหน่งอันสวยงามสมบูรณ์แบบ และยังต้องมีการใช้เทคนิคลงยาแบบพิเศษด้วยมือเพื่อสร้างสรรค์ความเหมือนจากธรรมชาติจริงๆ ที่เกิดขึ้น จนกระทั่งได้ความสมบูรณ์แบบแห่งภาพสะท้อนของความงดงามขึ้นมา
ไม่ใช่แค่ตัวเรือนเท่านั้น บนชิ้นส่วนของกลไกอัตโนมัติในรหัส 1540 VS17 ที่มีกำลังสำรอง 4 วัน และถูกผลิตขึ้นภายในโรงงานของ Franck Muller เองนั้น ยังได้รับการตกแต่งและใช้เทคนิคการผลิตระดับสูงด้วยเช่นกัน มีการเคลือบ PVD บนสะพานจักร เพื่อเผยความโดดเด่นยิ่งขึ้นแห่งสีสันบนดอกไม้แต่ละดอก มีการตกแต่งรูปดอกไม้บนสะพานจักร ผ่านการขัดขอบลบมุมด้วยมือ ผสมผสานด้วยงานขัดด้านแบบซาตินและลงยาทีละชั้น เพื่อนำมาซึ่งสีสันอันสวยงามและหรูหราโดยจัดวางอย่างลงตัว ด้วยหน้าปัดย่อยวินาที ณ ด้านบนของรูปดอกกุหลาบลงยาที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา
สิ่งเหล่านี้นับเป็นรายละเอียดเล็กๆ ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ และเป็นการเติมเต็มความสวยงามและโดดเด่นให้กับตัวนาฬิกาได้เป็นอย่างดี
Breguet Reine de Naples
สิ่งที่ทำให้นาฬิการะดับหรูมีความแตกต่างอย่างชัดเจน นอกเหนือจากเรื่องเทคนิคการผลิตขั้นสูงแล้ว นั่นคือเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดจากอดีต เชื่อมโยงถึงปัจจุบันได้อย่างลงตัว เปรียบดังเช่น นาฬิกาผู้หญิง Reine de Naples เรือนนี้
นาฬิกาเรือนนี้นับเป็นสุดยอดไอคอนแห่งเรือนเวลาช้ันสูงสำหรับสุภาพสตรี ซึ่งรังสรรค์ขึ้นโดยไดรับแรงบันดาลใจ จากนาฬิกาข้อมือเรือนแรกของโลกที่ประดิษฐ์ขึ้นในปี 1812 เพื่อถวายแด่ Caroline Murat พระราชินีแห่งเนเปิลส์ และพระขนิษฐาในจักพรรดินโปเลียน
Breguet ได้นำดีไซน์ที่เกิดขึ้นในครั้งอดีตมาหล่อหลอมและสร้างสรรค์ใหม่เพื่อสอดรับกับความต้องการในยุคปัจจุบัน โดยที่ยังคงเอกลักษณ์หลักๆ ของตัวนาฬิกาเอาไว้นั่นคือ ตัวเรือนที่มีรูปทรงไข่ และนำวัสดุที่มีค่าอย่างไวท์โกลด์18K มาใช้ในการผลิตตัวเรือน และนำเทคนิคการผลิตขั้นสูงมาใช้ในการผลิตตามจุดต่างๆ ของตัวนาฬิกา เช่น ขอบตัวเรือนที่มีการประดับด้วยเพชร 135 เม็ด และหน้าตัดของเม็ดมะยมมีการฝังทับทิมลงไป กรอบหน้าปัดเป็นแบบรูปไข่ทำให้มีการจัดวางชุดเข็มในแบบ Off Center หรือเยื้องศูนย์กลางพร้อมตัวเลขอารบิกสีแดงตามแบบฉบับ Breguet และมีการประดับด้วยเพชรทรงหยดน้ำ โดยตัวหน้าปัดเองรังสรรค์จาก mother-of-pearl สีขาวธรรมชาติ และเติมความโดดเด่นด้วยสายหนังจระเข้สีแดงที่มาพร้อมกับตัวล็อกสายที่มีการประดับด้วยทับทิม 28 เม็ด
นอกจากนั้น ชิ้นส่วนของกลไกยังผ่านการขัดแต่งอย่างพิถีพิถันจากช่างที่มีความเชี่ยวชาญ เช่น โรเตอร์ขึ้นลานที่ผลิตจากแพล็ทตินัม ที่มากับลายกีโยเชต์ที่สามารถมองเห็นได้จากด้านหลังซึ่งเป็นกระจกใส ซึ่งทั้งหมดช่วยทำให้ตัวนาฬิกาข้อมือสำหรับผู้หญิงมีความสมบูรณ์แบบในด้านความงดงามไม่ว่าจะมองจากทางด้านหน้า หรือจากด้านหลัง
Chopard L’Heure du Diamant
อัญมณีที่มีค่าตามธรรมชาติถือเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับนาฬิกาข้อมือสุภาพสตรี และเมื่อบวกกับตัวเรือนนาฬิกาที่มีดีไซน์ที่ลงตัวด้วยแล้ว ทั้ง 2 สิ่งจะช่วยกันเติมเต็มและสามารถเพิ่มความโดดเด่นได้อย่างสะดุดตา ซึ่งแน่นอนว่าที่ผ่านมา Chopard ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตนาฬิกาประดับเพชรที่มีชื่อเสียง เช่นเดียวกับการเป็นผู้ผลิตเครื่องประดับที่เป็นงานที่พวกเขาคุ้นเคยมานาน และ Chopard ได้นำองค์ความรู้เหล่านี้ มายกระดับและสร้างสรรค์นาฬิกาผู้หญิงรุ่นใหม่อย่าง L’Heure du Diamant เพื่อส่งมอบเรือนเวลาที่อยู่เหนือกาลเวลาให้กับคุณสุภาพสตรีทั่วโลก
บนตัวเรือนขนาด 26 มิลลิเมตรของนาฬิกาเรือนนี้ คุณสามารถเลือกสัมผัสความงามได้ 2 รูปแบบจากวัสดุ อย่าง ไวท์โกลด์ 18k หรือ Rose Gold 18K ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหน ตัวนาฬิกาได้รับการสร้างสรรค์จากช่างฝีมืออันเชี่ยวชาญของ Chopard ในการประดับเพชรลงไปตามจุดต่างๆ บนตัวเรือนและอยู่ในตำแหน่งที่สามารถเล่นกับแสงเพื่อดึงดูดทุกสายตาได้ยามเมื่อนาฬิกาได้ส่องกระทบเข้ากับแสงอาทิตย์หรือแสงไฟ
ขณะที่บนหน้าปัดที่ผลิตจาก Mother-of-Pearl เองก็มีการประดับเพชรแบบ Brilliant-Cut จำนวน 12 เม็ดเอาไว้ตามหลักชั่วโมงอีกด้วย ขณะที่ตัวกลไกเป็นแบบอัตโนมัติที่สามารถขึ้นลานด้วยมือและถูกสร้างสรรค์ให้มีขนาดที่สอดคล้องกับตัวเรือน
นี่คืออีกเรือนเวลาที่ถูกสร้างสรรค์ในการผสานจุดเด่นของแบรนด์ทั้งในด้านการผลิตเรือนเวลาและการเป็นแบรนด์ที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตเครื่องประดับเข้าด้วยกัน
OMEGA Constellation Aventurine
หน้าปัดที่ส่องประกายระยิบระยับราวกับแสงดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืนได้ถูกผสมผสานเข้ากับตัวเรือนที่ผลิตจากทองแบบ Sedna Gold อันเป็นเอกลักษณ์ของ OMEGA หรือแบบสตีล ช่วยทำให้ OMEGA Constellation Aventurine คือ นาฬิกาผู้หญิงแบรนด์หรูที่เหมือนกับย่อส่วนท้องฟ้าในตามค่ำคืนลงมาไว้บนข้อมือคุณ
เรือนเวลารุ่นนี้มีขนาด 29 มิลลิเมตรและมี 2 ทางเลือกของวัสดุตามที่กล่าวข้างต้น โดยจุดเด่นคือ การใช้หน้าปัดที่ผลิตจากหินมีค่าและมีลวดลายที่สวยงามอย่าง Aventurine ซึ่งหน้าปัดของนาฬิกาแต่ละเรือนจะมีลวดลายที่ไม่เหมือนกันแตกต่างกันไปตามลวดลายของที่มีอยู่ในหิน Aventurine ตามธรรมชาติ โดยจะมีจำหน่ายด้วยกันถึง 12 รุ่นย่อยบนหน้าปัดหลากสี ทั้งสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน พร้อมหลักชั่วโมงบนหน้าปัดจะมีการประดับด้วยเพชรที่ผ่านการเจียระไนอย่างสวยงามเพื่อช่วยความแวววาวและการส่องประกายมากขึ้น ขณะที่บนขอบตัวเรือนจะมีทางเลือกทั้งขอบตัวเรือนทั้งแบบ ประดับเพชร หรือแบบที่แกะสลักด้วยเลขโรมัน
ในส่วนของกลไกที่ขับเคลื่อนเรือนเวลารุ่นนี้จะมี 2 แบบที่แตกต่างกันไปตามวัสดุตัวเรือน โดยในรุ่นสตีลจะเป็นรหัส OMEGA Co-Axial Master Chronometer Calibre 8700 หรือรหัส 8701 สำหรับรุ่นตัวเรือนทองล้วน
Bulgari’s Serpenti Watches
เรื่องราวแห่งความงดงามของเครื่องประดับที่ก่อกำเนิดเมื่อ 2,000 ปีก่อนได้กลับมาก่อกำเนิดใหม่อีกครั้งในฐานะของเครื่องบอกเวลาในลักษณะของเครื่องประดับอย่างลงตัว กับการสร้างวิถีแห่งเส้นทางการสร้างสรรค์สู่ประวัติศาสตร์ในฐานะไอคอนของการเปลี่ยนรูปได้อย่างไม่สิ้นสุด ทำให้สุภาพสตรีทั่วโลกหลงใหลในความสวยงามของนาฬิกาข้อมือผู้หญิงอย่าง Bulgari’s Serpenti Watches ที่ร้อยรัดอยู่บนข้อมือของพวกเธอ
Bulgari Serpenti ถือเป็นนาฬิกาผู้หญิงที่ได้รับแรงบันดาลใจมากจากคลีโอพัตรา (Cleopatra) แห่งโรมเมื่อกว่า 2000 ปีในอดีต อัญมณีที่ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งตำนานไม่มีที่สิ้นสุด รวมถึงความวิจิตรศิลป์และการส่งเสริมซึ่งพลัง Serpenti ยังได้ขยายพรมแดนของเครื่องประดับอัญมณีที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณของผู้หญิงที่มีความมั่นใจและการเข้าสู่โลกของศิลปะผ่านความร่วมมืออันสร้างสรรค์และน่าตื่นเต้น ซึ่งเรื่องราวของ Bulgari Serpenti ได้เริ่มขึ้นเมื่อปลายทศวรรษที่ 1940 หรือ 75 ปีที่แล้ว และได้ถ่ายทอดพลังแห่งความสวยงามผ่านทางข้อมือของสุภาพสตรีจากรุ่นสู่รุ่น จนกระทั่งกลายเป็นเครื่องประดับที่มีเอกลักษณ์และได้รับการจดจำมากที่สุดรุ่นหนึ่ง
ในตอนนั้น ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญ เพราะ Bulgari Serpenti ได้เพิ่มบทบาทของตัวเองจากการเป็นเครื่องประดับที่สามารถบอกเวลาได้ และนั่นยิ่งทำให้คอลเล็กชั่นนี้ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น และถือเป็นการพลิกโฉมหน้าในการผลิตนาฬิกาด้วยเทคนิคในการผลิตระดับสูงกับลำตัวที่เชื่อมต่อด้วยข้อที่รังสรรค์ขึ้นโดยอาศัยเทคนิค Tubogas อันอัจฉริยะ จากการจับคู่เข้ากับความเชี่ยวชาญด้านช่างทอง พร้อมทั้งมอบความโค้งอ่อนให้กับไอคอนงูนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
สิ่งเหล่านี้เป็นเทคนิคที่ถูกถ่ายทอดและนำมาใช้ในการผลิตนาฬิกาเรือนนี้จากรุ่นสู่รุ่น จนกระถึงรุ่นล่าสุด ซึ่งก็คือ Serpenti Viper ซึ่งเป็นไอคอนที่ยังคงสืบทอดไว้ด้วยคุณค่าแห่งสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนรูปได้อย่างเย้ายวนใจ และพร้อมเสมอที่จะเผยซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่
นอกจากนั้นในปี 2023 ยังถือว่ามีความสำคัญ เพราะทาง Bulgari เองได้เปิดแคมเปญ Bulgari Serpenti 75 Years of Infinite Tales ซึ่งเป็นการบอกเล่าเรื่องราวและการเดินทางของเรือนเวลาที่มีรูปทรงพิเศษเรือนนี้