
หน้าที่ของนาฬิกาไม่ได้มีแค่เรื่องของการบอกเวลาเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทอื่นๆ ตามวัตถุประสงค์ของการออกแบบไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฟังก์ชั่นอื่นที่นาฬิกาเรือนนั้นๆ ได้รับการติดตั้งมา รวมถึงเรื่องสำคัญคือ การบ่งบอกถึงสถานะ ความชื่นชอบ และรสนิยมของผู้สวมใส่ ซึ่งจะบอกว่า You are what you wear ก็คงจะไม่ผิดนัก
สำหรับนาฬิกาสปอร์ตถือเป็นกลุ่มที่มีทางเลือกมากมาย และแน่นอนว่าเป็นนาฬิกาที่ได้รับความนิยมจากคนรักนาฬิกาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มนาฬิการะดับหรู เพราะนอกจากความสวยแล้ว บางเรือนก็เพียบพร้อมด้วยฟังก์ชั่น และมีเรื่องราวที่มีความน่าสนใจ ขณะที่บางเรือนสามารถผสมผสานความสปอร์ต ความหรูหรา และฟังก์ชั่นให้เข้ากันอย่างลงตัว และบางเรือนก็ได้รับการผลิตจากวัสดุที่มีค่าซึ่งเป็นการฉีกแนวทางและสไตล์ของนาฬิกาในรูปแบบเดิมๆ อย่างชัดเจน
ถ้าคุณกำลังมองหานาฬิกาสปอร์ตสักเรือนที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมในทุกด้าน นี่คือ ทางเลือกที่น่าสนใจและมองข้ามไม่ได้เลย
Bell&Ross BR05 Green Gold
ชื่อเสียงของ Bell&Ross คือ นาฬิกาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอุปกรณ์ที่อยู่บนแผงหน้าปัดของเครื่องบินขับไล่ และจากดีไซน์นั้นทำให้เกิดเอกลักษณ์ของแบรนด์และมีแฟนติดตามอย่างเหนียวแน่น แต่นับจากปี 2019 เป็นต้นมา ทางแบรนด์พยายามแตกไลน์นาฬิกาแบบอื่นๆ ออกสู่ตลาดโดยที่ยังคงรากเหง้าในการออกแบบของตัวเองเอาไว้อย่างชัดเจน และนั่นทำให้เกิดคอลเล็กชั่น BR05 ออกมา กับคอนเซ็ปต์ที่สร้างสรรค์นาฬิกาสปอร์ตเพื่อคนเมืองที่มีหัวใจในการผจญภัย และ BR05 ไม่ได้มีแค่ตัวเรือนแบบสแตนเลสสตีลเพียงอย่างเดียว แต่ยังนำเสนอทางเลือกอื่นๆ ของวัสดุด้วย อย่างเช่นล่าสุดคือ การจับคู่กับทองคำในแบบ Full Gold ทั้งตัวเรือนและสาย พร้อมกับหน้าปัดสีเขียวที่สวยสะดุดตา
นาฬิกาเรือนนี้ถือเป็นรุ่นที่ 3 ของ Gold Family ตัวเรือนและสายได้รับการผลิตจากทองคำ 5N 18K คงเอกลักษณ์ของการออกแบบจาก Bell & Ross ในการสร้างสรรค์นาฬิกาตัวเรือนเหลี่ยมแต่มีการลบเหลี่ยมมุมทั้งสี่ด้าน พร้อมการขัดแต่งตัวเรือนเงาสลับลายซาตินที่ช่วยทำให้ตัวนาฬิกามีการเปล่งประกายที่สวยงาม และที่มุมทั้ง 4 ด้านจะมีน็อตยึดตัวเรือนอันเป็นอีกเอกลักษณ์ของแบรนด์
ขนาดตัวเรือนไซส์ 40 มิลลิเมตรถือว่าเหมาะทั้งผู้ชายและผู้หญิง สวมใส่สบาย อีกทั้งการออกแบบตัวสายในแบบ Integrated Bracelet ที่ตัวเรือนและสายรวมกันเป็นส่วนเดียวกันทำให้มีความกลมกลืนและสวยอย่างโดดเด่น ตัวสายออกแบบให้มีความโดดเด่นเหมือนกับสร้อยข้อมือพร้อมกับการขัดเงาสลับด้านบนข้อสาย และจะมีสายหนังจระเข้เพิ่มมาอีก 1 เส้นซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่นาฬิการุ่น BR05 มีการจับคู่กับสายหนัง
บนหน้าปัดมากับสีเขียวที่ดูสวยและสบายตา พื้นผิวมีการขัดแต่งในแบบซันเรย์ทำให้สามารถเล่นกับแสงได้อย่างสวยงาม และเพื่อความสะดวกในการมองเวลาตอนอยู่ในที่มืด บนหลักชั่วโมงและเข็มชั่วโมง-นาทีจะมีการเคลือบสารเรืองแสง SuperLuminova C3 แบบออกเหลืองทองเอาไว้ด้วย และเมื่อพลิกด้านหลังจะพบกับฝาหลังแบบใส ซึ่งเมื่อมองผ่านกระจกแบบ Sapphire ไปแล้วจะพบกับความงามของกลไกอัตโนมัติ BR-CAL.321 ที่ได้รับการขัดแต่งอย่างสวยงาม รวมถึงการใช้ทองคำในการผลิตชิ้นส่วนอย่างโรเตอร์เหวี่ยงขึ้นลาน
การออกแบบอย่างสปอร์ตซึ่งมีที่มาจากอากาศยานที่ถูกประยุกต์เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานของคนเมืองหรือบรรดาหนุ่มออฟฟิศ บวกกับการเลือกใช้วัสดุที่มีค่าอย่างทองคำทำให้ Bell&Ross BR05 Green Gold เป็นความลงตัวที่โดดเด่นสอดประสานแนวทางของการผสมผสานในส่วนของดีไซน์และฟังก์ชั่นได้อย่างกลมกลืน
โอเมก้า Speedmaster ‘57
นาฬิกาในคอลเล็กชั่น Speedmaster ของโอเมก้า ไม่ได้ถูกจดจำแค่การเดินทางอันยิ่งใหญ่จากโลกสู่ดวงจันทร์เท่านั้น แต่ในโลกแห่งความเร็ว นาฬิกาของพวกเขาก็ได้รับการยอมรับถึงคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความเที่ยงตรงในการทำงานอีกด้วย และจากจุดเริ่มต้นในปี 1957 ทางแบรนด์ได้เปิดตัวคอลเล็กชั่นใหม่ที่เป็นการนำเรื่องราวในอดีตมาตีความใหม่ด้วยการออกแบบให้มีความร่วมสมัยแต่ยังคงกลิ่นอายของความคลาสสิค ซึ่งทั้งหมดถูกนำเสนอผ่านเรือนเวลารุ่น Speedmaster ’57 รุ่นใหม่ล่าสุด
นาฬิกา Speedmaster ’57 คือสัญลักษณ์ถึงการออกแบบดั้งเดิมของ Speedmaster ที่เผยโฉมเมื่อปี 1957 สำหรับนักแข่งรถและช่างในสนามแห่งความเร็ว เพื่อเป็นการรำลึกถึงในเรื่องนี้ คอลเลคชั่น Speedmaster ’57 จึงประกอบไปด้วยนาฬิกาถึง 8 รุ่นใหม่ที่นำเสนอสไตล์ที่เพรียวบาง, หน้าปัดหลากสีสัน, สายนาฬิกาโลหะแบบวินเทจ รวมถึงกลไก Co-Axial Master Chronometer 9906 ที่มีมาตรฐานความเที่ยงตรง, การต้านทานสนามแม่เหล็ก และประสิทธิภาพในระดับสูงสุด
ในรุ่นใหม่นี้มีการลดขนาดตัวเรือนให้มีความเพรียวลงจากเดิมอยู่ที่ 41.5 มาเป็น 40.5 มิลลิเมตร มีการออกแบบโดยอ้างอิงจากนาฬิการุ่นดั้งเดิม ทั้งเข็มทรง Board Arrow ที่สวยเด่น และขอบตัวเรือนที่มากับเอกลักษณ์ Dot Over Ninety ซึ่งเป็นรูปแบบอันสุดคลาสสิคของสเกล Tachymeter ที่อยู่บนขอบตัวเรือน
นอกจากนั้นยังมี 8 รุ่นย่อยจาก 4 สีหน้าปัด ซึ่งก็คือ ดำที่มีหน้าปัดแบบแซนวิช, เขียว, แดง และน้ำเงิน พร้อมความหลากหลายของสายทั้งสายหนัง และสแตนเลสสตีล ส่วนอีกสิ่งที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมคือ การได้รับกลิ่นอายจากการเป็นนาฬิกาไขลานเหมือนับ Moonwatch
โอเมก้า เปลี่ยนจากการใช้กลไกอัตโนมัติมาเป็นการใช้กลไกไขลานในรหัส 9906 ซึ่งมาแทนที่กลไกเดิมที่เป็นแบบอัตโนมัติในรหัส 9300 โดยกลไกใหม่นี้มาพร้อมระบบ Co-Axial พร้อมความเที่ยงตรงในระดับ Master Chronometer ที่ผ่านการรับรองโดย METAS และมีกำลังสำรอง 60 ชั่วโมง
ที่สำคัญนาฬิกาเรือนนี้รับการยอมรับจากนักแสดงชื่อดังซึ่งเข้ามารับเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับ โอเมก้า นั่นคือ George Clooney และ Hyun Bin
Franck Muller Casablanca
อีกสิ่งที่มีความสำคัญสำหรับเรือนเวลาคือ สตอรี่หรือเรื่องราวที่จะช่วยทำให้นาฬิกาเรือนนั้นๆ มีความน่าสนใจ และจะยิ่งน่าสนใจมากขึ้นถ้าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเกิดตรงใจกับคนๆ นั้น ดังนั้น เราจึงเห็นผู้ผลิตนาฬิกาหลายรายจับเรื่องราวต่างๆ เข้ามาเชื่อมโยงกับการพัฒนานาฬิการุ่นใหม่ของตัวเองอยู่เสมอไม่ว่าจะมาในรูปแบบของรุ่นพิเศษ หรือรุ่นผลิตจำกัด และสำหรับ Franck Muller เรือนที่เห็นอยู่นี้ บอกเลยว่าถ้าใครเป็นแฟนภาพยนตร์สุดคลาสสิคอย่าง Casablanca หรือมีความหลังเกี่ยวกับเมืองอันสวยงามแห่งนี้ ถือว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
Casablanca เป็นภาพยนตร์รักโรแมนติกที่กลายเป็นตำนานความคลาสสิกของ Hollywood ท่ามกลางฉากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ที่นำแสดงโดย Humphrey Bogart และ Ingrid Bergman ที่ทำให้ผู้ชมได้ตราตรึงใจไปกับวลีและคำพูด ไปจนถึงธีมเพลงประกอบ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจไปทั่วโลกให้กับอีกหลากหลายเรื่องราวแห่งความโรแมนติกนับไม่ถ้วนที่เกิดขึ้นทั่วมหานครแห่งความรัก ซึ่ง Franck Muller ผู้สร้างสรรค์เรือนเวลาสุดสวยคือ หนึ่งในผู้ชมที่ตราตรึงใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้ และได้นำมาถ่ายทอดลงบนนาฬิการุ่นพิเศษของเขาอย่าง Franck Muller Casablanca ซึ่งอ้างอิงมาจากพื้นฐานของนาฬิกาทรงสปอร์ตอย่าง Vanguard ที่ผลิตจากสแตนเลสสตีล
แน่นอนว่านาฬิการุ่นนี้มีการคงเอกลักษณ์ในด้านดีไซน์บนตัวเรือนแบบทรงถังเบียร์หรือ Tonneau ที่มีให้เลือก 2 ขนาด คือ 41 และ 43 มิลลิเมตร แต่ได้รับการตกแต่งและสร้างสรรค์จตามแนวคิด Cintrée Curvex ซึ่งมีความหมายถึง “ความโค้งภายใต้ความโค้ง กับตัวเรือนที่โค้งไปตามแกนโค้งต่างๆ ของตัวเรือนนาฬิกาบนสี่ระดับ แทนที่จะเป็นสองระดับเหมือนกับนาฬิกาทรง Tonneau คลาสสิกทั่วไป
ขณะที่หน้าปัดซึ่งพิมพ์ด้วยเครื่องหมายหรือมาร์กเกอร์บอกชั่วโมง พร้อมทั้งเข็มบอกเวลารูปทรงเพชรนั้นยังประกอบลงตัวเข้ากับเข็มวินาทีกลางหน้าปัด ที่ได้แสดงงานออกแบบสไตล์ Art Deco ทั้งจากเส้นสายแนวตรงและโค้งในเวลาเดียวกัน ผสานขอบตัวเรือนด้านใน ที่ถ่ายทอดด้วยรายละเอียดแห่งสไตล์เฉพาะของ Vangusrd เช่น จุดเข็มทิศ และเข็มชี้สเกเลตันตกแต่งมุม พร้อมด้วยเข็มวินาทีทรงลูกศร กับคุณสมบัติที่ได้รับการยกระดับด้านเทคนิคและประโยชน์การใช้งานอื่นๆ นั้นยังรวมไปถึง ช่องหน้าต่างแสดงวันที่ขนาดเล็ก และเข็มชี้บรรจุด้วยสารเรืองแสง ส่วนมาร์กเกอร์ชั่วโมงขนาดใหญ่พิเศษหรือโอเวอร์ไซส์ (oversized) ของแวงการ์ดนั้นยังได้เพิ่มระดับความสามารถในการอ่านค่าเวลาบนหน้าปัดได้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งงานออกแบบอันเข้มแข็งที่สะท้อนถึงสาขาแห่งนาฬิกากองทัพหรือนาฬิกาสำหรับใช้ในทงการทหาร (military watches) ของยุคสมัยได้อย่างดี
นาฬิการุ่นนี้จะมีความพิเศษตรงที่มี 4 สีของหน้าปัดที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเมือง Casablanca โดยจะมีทั้งสีดำ สีน้ำตาล สีแซลมอน และสีพิเศษในแบบ Boutique Edition โดยจะมีทั้งรุ่น 3 เข็ม และรุ่นจับเวลาซึ่งขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติ Calibre 2880 มาพร้อมเข็มจับเวลาวินาทีกลาง และหน้าปัดย่อยจับเวลา 30 นาที รวมถึงหน้าปัดแสดงวินาทีเล็ก ณ ตำแหน่ง 3 นาฬิกา และ 9 นาฬิกา
ไม่ว่าจะเป็นสีไหนหรือแบบไหน Franck Muller Casablanca คือนาฬิกาสปอร์ตที่นำความคลาสสิคของยุคสมัยให้กลับมาโลดแล่นอยู่ในโลกสมัยใหม่ได้อย่างโดดเด่นและลงตัว
Bulgari Octo Roma
ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ผ่านมา Bulgari ได้ยกระดับตัวเองจากการเป็นแบรนด์นาฬิกาแฟชั่นมาสู่การเป็นผู้ผลิตเครื่องบอกเวลาชั้นสูงได้อย่างเต็มตัว และที่โดดเด่นเหนือขึ้นไปอีกระดับคือ การที่พวกเขานำองค์ความรู้จากการเป็นผู้ผลิตเครื่องประดับมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบนาฬิกาของตัวเองเพื่อให้มีความสวยงามและตรงกับความต้องการของลูกค้า พร้อมกับมีรุ่นที่ได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมเสมอมาคือ Octo
ชื่อของ Octo เป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี 2012 และได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในวงการผลิตนาฬิกาตลอดช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยความสอดคล้องของงานออกแบบสไตล์อิตาเลียนอันเปี่ยมด้วยนวัตกรรมและทรงพลังอย่างลึกซึ้ง ที่เสริมความรุ่มรวยให้กับศิลปะการประดิษฐ์นาฬิกาสวิส และด้วยความสามารถพิเศษอันมิอาจพรรณนาได้ของ Bulgari ในการปลุกฟื้นและสร้างความเข้มแข็งขึ้นมาใหม่แก่สุนทรียะความสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตน พร้อมกับส่งต่อแนวคิดนี้จากรุ่นสู่รุ่นมายังรุ่นใหม่อย่าง Octo Roma
Octo Roma ทั้งรุ่น 3 เข็มและรุ่นจับเวลา Chronograph ได้รับแรงบันดาลในการออกแบบด้วยรูปทรงแปดเหลี่ยมที่อุทิศเกียรติให้กับความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์ของแบรนด์และเมืองอันเป็นนิรันดร์ (Eternal City) อันเป็นเอกลักษณ์ของ Octo และเพิ่มเติมความสปอร์ตบนความหรูเพื่อสะท้อนถึงความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใครซึ่งตรงกับผู้สวมใส่ที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง และชื่นชอบนาฬิกาที่มีเอกลักษณ์
งานออกแบบตัวเรือนที่บรรจบระหว่างรูปทรงกลมและทรงแปดเหลี่ยม สร้างสรรค์เป็นความสอดคล้องสัมพันธ์กันอันละเอียดอ่อนของลวดลายพื้นผิว แสงและเงา เม็ดมะยมที่ผสานอย่างกลมกลืนเข้ากับตัวเรือนของนาฬิกาทั้งสองรุ่น และปกป้องโดยอุปกรณ์ปกป้องเม็ดมะยม (crown protectors) โดยนาฬิกาแต่ละรุ่นยังสามารถกันน้ำได้ที่ระดับความลึก 100 เมตร อีกทั้งยังเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานด้วยระบบเปลี่ยนสายแบบเร็วโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ เพื่อช่วยในการเปลี่ยนสายแบบต่างๆ ได้อย่างสะดวกและง่ายดาย
สำหรับบนหน้าปัดยังเพิ่มความสวยงามด้วยด้วยลวดลาย Clous de Paris ซึ่งถือเป็นลวดลายที่มีใช้อยู่ในเครื่องบอกเวลาชั้นสูง มีความสวยงามยามสะท้อนแสงในมุมต่างๆ โดยในรุ่น 3 เข็มบนตัวเรือน 41 มิลลิเมตรจะมากับกลไกอัตโนมัติที่มีกำลังสำรอง 41 ชั่วโมง ขณะที่รุ่นจับเวลา Chronograph จะเป็นการขับเคลื่อนผ่าน Calibre BVL 399 กลไกจักรกลสวิสผลิตในโรงงานของตนเอง (In-House)
ด้วยความสวยคลาสสิค และการพิถีพิถันในการขัดแต่งทุกรายละเอียดที่อยู่บนตัวนาฬิกาในสไตล์ Casual Chic บวกกับรูปทรงที่สวยสปอร์ตและอยู่เหนือกาลเวลาทำให้ Bulgari Octo Roma เป็นนาฬิกาที่เหมาะกับทุกโอกาสทั้งลำลองหรือทางการ