Cartier มีบทบาทในอุตสาหกรรมแห่งเรือนเวลาอยู่ตลอดเวลานับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่ง Louis Cartier ได้สร้างสรรค์และกำหนดทิศทางในการออกแบบนาฬิกาของแบรนด์จนได้รับการยอมรับว่าเป็น Iconic ของแบรนด์และโลกแห่งนาฬิกาเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะการถือกำเนิดของ เรือนเวลาตระกูลแทงก์ Tank ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
Cartier มีจุดเริ่มต้นในปี 1847 จากการรับช่วงดูแลเวิร์คช็อปของอาจารย์ของ Louis-Francois Cartier แล้วก่อตั้งเป็นร้านค้าเพชรเล็กๆ จนนำไปสู่การตั้งร้านเครื่องประดับระดับหรูบนถนน Rue de La Paix ในปี 1874 พร้อมกับการส่งต่อกิจการให้กับเจนเนอเรชั่นที่ 3 คือ Louis, Pierre และ Jacques ซึ่งสร้างชื่อเสียงของ Cartier ให้โด่งดัง โดยเฉพาะการบุกตลาดต่างประเทศ อย่างการเปิดร้านที่กรุงลอนดอนในปี 1902 และนิวยอร์ค ในปี 1909 ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวให้โลกได้รู้จักกับ Cartier มากยิ่งขึ้น
ในปี 1917 Louis Cartier หลานชายของผู้ก่อตั้งแบรนด์ ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบนาฬิกา มาจากรถถัง (Tank) รุ่น Renault FT-17 จากการออกรบของฝั่งประเทศฝรั่งเศสในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงทำให้เกิดเป็นนาฬิกาข้อมือ The Tank กับรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสในกรอบทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เพิ่มความสง่าด้วยตัวเลขโรมันสีดำบนหน้าปัดสีขาว ประดับด้วยแซฟไฟร์สีฟ้าอย่าง Cabochon ตรงเม็ดมะยม เชื่อมแบบไร้รอยต่อตรงตัวเรือนด้วยสายหนังสีดำ และเรือนต้นแบบได้ส่งต่อไปให้นายพล John Pershing ชาวอเมริกันในปี 1918 ก่อนที่จะกลายเป็นนาฬิกาที่ถูกจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปี 1919
กว่า 100 ปีที่อยู่ในตลาด Tank ได้รับการปรับปรุงและปรับเปลี่ยนตามยุคสมัยด้วยการเปิดตัวรุ่นย่อยออกมามากมาย แต่คงรูปทรงและดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ได้ และกลายเป็นนาฬิการะดับ Iconic ของแบรนด์ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากคนดังทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงอย่าง Rudolph Valentino Clark Gable และ Fred Astaire, เจ้าหญิง Diana หรือแม้แต่ Andy Warhol ศิลปิน Pop Art ชื่อดังที่ชื่นชอบ Tank เป็นพิเศษถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า “ผมไม่ได้ใส่ Tank เพื่อบอกเวลา ที่จริงแล้วผมไม่ได้ตั้งเวลาเลยด้วยซ้ำ แต่ผมใส่มันเพราะนี่คือนาฬิกาที่ต้องมีประดับไว้บนข้อมือ”
นั่นคือเรื่องราวของ Tank กับความโด่งในด้านดีไซน์ที่มีความแตกต่างอย่างสุดขั้วเพราะมีจุดกำเนิดมาจากรถถัง แต่กลับกลายมาเป็นแรงบันดาลใจในโลกของการสร้างสรรค์งานศิลป์สุดคลาสสิคที่อยู่บนข้อมือ และถ้าคุณต้องการเป็นส่วนหนึ่งในโลกของ Cartier Tank เรามี 3 เรือนเวลาจากคอลเล็กชั่นนี้ให้คุณได้รู้จักมากยิ่งขึ้น
1. Tank Louis Cartier Bangkok Edition:
มีไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะได้เห็นเรือนเวลาระดับคลาสสิคที่มีการผลิตรุ่นพิเศษที่เจาะจงลงมาที่กรุงเทพมหานคร นครหลวงของพวกเรา ดังนั้น นาฬิกาเรือนนี้จึงมีความพิเศษ และเป็นสิ่งที่คนไทยซึ่งมี Cartier Tank อยู่ในหัวใจไม่ควรพลาด นาฬิกาเรือนนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสมญานามของประเทศไทย “The Golden Kingdom” โดยถูกสร้างสรรค์บนตัวเรือนขนาด 33.7 x 25.5 มม. เพรียวบางเพียง 6.6 มม.ที่ผลิตจากทองคำ
ในแง่ของดีไซน์นั้น ตัวเรือนรุ่นนี้ถูกสร้างสรรค์จากรุ่น Tank Louis Cartier ที่เปิดตัวในปี 1922 ที่ยังคงเอกลักษณ์ดีไซน์เรขาคณิตของแทงก์ แต่แตกต่างที่กรอบข้างตัวเรือนมีความโค้งมนมากขึ้น โดยหน้าปัดสีทองมีการเล่นกับพื้นผิวอย่างมีชั้นเชิงบริเวณหน้าปัด ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเรือนเวลารุ่นTank Must Vermeil จากปี 1980 ยิ่งทำให้เรือนเวลารุ่นนี้โดดเด่น และเต็มไปด้วยเอกลักษณ์พิเศษ
ขับเคลื่อนด้วยกลไกไขลาน คาลิเบอร์ 1917 MC พร้อมพลังสำรองลาน 38 ชั่วโมง ทนแรงดันน้ำได้ถึง 3 บาร์ (30 เมตร) สายสามารถถอดเปลี่ยนได้ถึง 2 แบบ ทั้งสายหนังจระเข้สีดำ และสายหนังจระเข้สีน้ำตาล พร้อมกับความพิเศษสุดๆ เพราะมีการผลิตออกมาเพียง 67 เรือนเท่านั้น และตัวเลข 67 คือ ปีพ.ศ.ของไทยที่นาฬิกาเรือนนี้ถูกผลิตออกมา
2.Tank Française: นาฬิกาที่ถูกเปิดตัวออกมาเมื่อปี 1996 พร้อมสายโลหะที่กลมกลืนกับตัวเรือนอย่างลงตัวพร้อมกับก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกตระกูล Tank อันยิ่งใหญ่ในทันที แต่หลังจากนั้น นาฬิกาเรือนนี้เงียบหายไปจากตลาด จนกระทั่งอีก 27 ปีต่อมา Tank Française กลับมาพร้อมกับงานออกแบบที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา และมีความร่วมสมัยขึ้นโดยที่คงเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของนาฬิการุ่นนี้เอาไว้อย่างครบถ้วน
Tank Française มีจำหน่ายด้วยกัน 3 ขนาด คือ SM หรือ Small Model มีขนาด 25.7 x 21.7 x 6.8 มม. ตามด้วย MM หรือ Medium Model มีขนาด 32 x 27 x 7.1 มม. และ LM หรือ Large Medium มีขนาด 36.7 x 30.5 x 10.1 มม.มาพร้อมกับหน้าปัดที่มี Railroad Minute Track ในการระบุสเกลของนาที พร้อมหลักชั่วโมงที่เป็นตัวเลขโรมัน ตามด้วยเข็มทรง Sword ปลายแหลม และเฉพาะรุ่น LM เท่านั้นที่จะมากับหน้าต่างวันที่ (Date) ซึ่งอยู่ในตำแหน่ง 9 นาฬิกา
ตัวเรือนไซส์ SM และ MM จะมากับกลไกควอตซ์ แบบ High-Autonomy ที่มีอายุแบตเตอรี่ยาวนานถึง 8 ปี ขณะที่รุ่น LM จะใช้กลไกอัตโนมัติ Calibre 1853 ที่เป็นการพัฒนามาจากกลไกของ Sellita SW100 หรือร่างจำแลงของ ETA2671 นั่นเอง มีกำลังสำรองสูงสุด 37 ชั่วโมง
3. Tank Américaine:
นาฬิกาที่มีต้นกำเนิดในปี 1989 พร้อมกับรูปทรงที่ถูกออกแบบด้วยการผสมผสานกับรุ่น Tank Cintrée เพื่อให้ตัวเรือนมีความโค้งมนมากขึ้น โดย Cartier ได้นำนาฬิกาเรือนนี้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับการเป็นส่วนหนึ่งของคอลเล็กชั่น Tank และเปิดตัวครั้งแรกในปี 2023 พร้อมกับรูปทรงที่เน้นความโค้งมนมากขึ้นกว่าที่เคยเป็น
มีทั้งแบบตัวเรือนทองคำและสายทองคำ หรือ All Gold ตัวเรือนสตีลและสายหนัง ตัวเรือนโรสโกลด์ฝังเพชรสายหนัง และตัวเรือนไวท์โกลด์และโรสโกลด์ฝังเพชร สำหรับสายโลหะออกแบบมาสำหรับ Tank Américaine โดยเฉพาะด้วยการสลักเส้นสายที่ละเอียดยิ่งกว่าเดิมเพื่อให้สัมผัสที่ดูปราดเปรียวขึ้นข้อสายขัดเงาทุกด้าน เมื่อแสงตกกระทบจึงเปล่งประกายแวววาว ขับเคลื่อนด้วยกลไก 1899 MC ที่ปรับขนาดให้เหมาะสมกับตัวเรือนที่บางลงของ Tank Américaine