04 ต.ค. 2024
ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรษ 1900 หลังจาก Alberto Santos-Dumont ผู้บุกเบิกด้านการบินชาวบราซิลเลี่ยน เล่าถึงความไม่สะดวกในการใช้งานนาฬิกาพกของเขาระหว่างทำการบินกับ Louis Cartier ผู้เป็นเพื่อนรัก จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างประวัติศาสตร์ของ Santos de Cartier นาฬิกาหรูผู้ชายสำหรับการบินที่ผลิตในเชิงพาณิชย์เรือนแรก และเป็นนาฬิกาข้อมือเรือนแรกที่ใช้ตัวล็อกสายแบบพับได้ (Folding Buckle หรือ Boucle Déployant) อีกด้วย ก่อนจะทำการจดสิทธิบัตรในปี 1909
แม้ว่าจะได้แรงบันดาลใจสำคัญจากศิลปะสไตล์ Art Deco ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 (และกลายเป็นสไตล์ที่ทำให้ Cartier มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก) โดยเวลาเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่านาฬิกา Santos ผ่านการออกแบบด้วยความพิถีพิถันอย่างไร
Credit: Cartier
ตลอดระยะเวลากว่า 110 ปี สไตล์ของ Santos de Cartier ยังคงยึดมั่นหลักการออกแบบจากรุ่นดั้งเดิม อย่างไรก็ตามความละเอียดอ่อนของทีมออกแบบ Cartier มีการพัฒนาตามยุคสมัยที่แสดงให้เห็นผ่านผลงานล่าสุดของพวกเขา
สำหรับโมเดลตัวเรือนขนาดใหญ่จะเป็นหน้าปัดสีน้ำเงินไล่เฉด เพิ่มความใหม่ด้วยหน้าปัดสไตล์คลาสสิกโทนสีขาวเงินที่มักจะถูกนำมาใช้ในหลายโมเดลของ Santos และเพื่อตอบรับเทรนด์ของตลาดในปัจจุบัน โมเดลล่าสุดมีประสิทธิภาพสูงในการใช้งานจริงจากการที่มีคุณสมบัติกันน้ำลึก 100 เมตร นอกจากนี้ยังมี 2 นวัตกรรมอัจฉริยะโดยอันแรกคือระบบปรับขนาด SmartLink สำหรับสายเหล็ก เพื่อให้ผู้สวมใส่ปรับตำแหน่งข้อต่อให้เหมาะสมตามต้องการ เช่นเดียวกับสายนาฬิกาหนังลูกวัวสีน้ำเงิน (เป็นอีกตัวเลือกที่มอบให้ผู้ซื้อคอลเลคชั่นนี้ทุกคน) พร้อมระบบ QuickSwitch ที่มีความสะดวกในการเปลี่ยนสายนาฬิกาได้อย่างรวดเร็ว
หน้าปัดทรงกลมถือเป็นรูปทรงมาตรฐานของนาฬิกาข้อมือส่วนใหญ่มาตลอด อย่างไรก็ตามสำหรับแบรนด์อย่าง Cartier หลักการด้านสุนทรียศาสตร์แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านนาฬิกาทุกเรือนที่พวกเขาสร้างสรรค์ขึ้นมา ทำให้การตีความนาฬิกาผู้หญิงแบรนด์หรูทรงกลมแบบคลาสสิกแสดงให้เห็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Cartier อย่างชัดเจน
Credit: Cartier
หลังจากเปิดตัวครั้งแรกในปี 2007 คอลเลกชั่นนาฬิกาผู้หญิง Ballon Bleu ได้รับการยกย่องให้เป็นการตีความนาฬิกาทรงกลมคลาสสิกในศตวรรษที่ 21 ของ Cartier ด้วยการเป็นมากกว่านาฬิกาที่มีหน้าปัดทรงกลมเท่านั้น แต่ความเรียบง่ายได้ซ่อนรายละเอียดที่ซับซ้อนมากมายไว้ภายใน ทั้งเส้นสายบนตัวเรือน, เม็ดมะยม และสายนาฬิกาที่มีความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวโดยธรรมชาติ และเพิ่มความงดงามให้นาฬิกาเรือนนี้มากยิ่งขึ้น
อีกเอกลักษณ์พิเศษของ Ballon Bleu คือการจัดวางเม็ดมะยมให้ซ่อนอยู่ด้านข้างตัวเรือนที่นูนออกในตำแหน่ง 3 นาฬิกาได้อย่างลงตัว เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Cartier ในการผสมผสานระหว่างรูปทรงกับฟังก์ชั่นการใช้งาน – ด้วยแนวคิดแห่งความสง่างามที่เป็นแก่นแท้ของนาฬิกาทุกเรือนที่พวกเขาสร้างสรรค์ขึ้น ทำให้การออกแบบเม็ดมะยมพร้อมการ์ดป้องกันล้อมรอบแซฟไฟร์สีน้ำเงินที่เจียระไนแบบ Cabochon แสดงให้เห็นความหลักแหลม และทันสมัย
นาฬิกาหรูผู้ชาย Alpine Eagle จาก Chopard มีเรื่องราวอันงดงามซ่อนอยู่เบื้องหลัง โดยผลงานจากความคิดสร้างสรรค์ของ Karl-Fritz ลูกชายของ Karl-Friederich Scheufele ประธานบริหารร่วมของแบรนด์ และทายาทรุ่นที่ 3 ของครอบครัวผู้ก่อตั้ง ด้วยการได้แรงบันดาลใจจาก St. Moritz นาฬิกาสายเหล็กแบบ Integrated ของ Chopard ที่เปิดตัวเมื่อปี 1980
Credit: Chopard
ก้าวแรกของนาฬิกา Chopard ในการเข้าสู่นาฬิกากลุ่มสปอร์ต ในเวลานั้นถือเป็นก้าวที่กล้าหาญ แม้ว่าสายนาฬิกาแบบเหล็กจะได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ตาม และยังเป็นนาฬิกาเรือนแรกที่ Karl-Friederich ออกแบบเพื่อแบรนด์ทำให้เพิ่มความสำคัญมากยิ่งขึ้นไปอีก Alpine Eagle กลายเป็นการสืบทอดมรดกความสำเร็จของตระกูลเพื่อก้าวสู่อีกระดับ ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่พร้อมนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นหัวใจสำคัญของตระกูล Scheufele
ตั้งแต่ความแยบยลของการติดตั้งสกรู 8 ตัว บนขอบตัวเรือนเพื่อสร้างการตกแต่งพื้นผิวที่แตกต่าง รวมทั้งความพยายามอย่างพิถีพิถันในการสร้างหน้าปัดให้คล้ายดวงตาของนกอินทรี Alpine Eagle ตอบโจทย์ในทุกด้าน และที่มากไปกว่านั้น Chopard เลือกใช้ Lucent Steel A223 วัสดุที่เป็นเอกสิทธิ์ของแบรนด์ – โลหะผสมที่สร้างความยั่งยืนต่อโลก, ไม่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ และแข็งแรงกว่าสายนาฬิกาเหล็กทั่วไปที่ถูกใช้โดยผู้ผลิตนาฬิการายอื่น ทำให้นาฬิกาที่งดงามเรือนนี้เป็นมากกว่าผู้ชนะ
การตีความได้อย่างเหมาะสมทำให้นาฬิกา Chopard Alpine Eagle เป็นที่ชื่นชอบของบรรดานักสะสมนาฬิกายุคปัจจุบัน และสมควรที่จะได้รับการยกย่องให้เป็นเรือนเวลาแห่งสัญลักษณ์ในอนาคตอันใกล้ จากการมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเป็นนาฬิกาที่มีคุณค่าเหนือกาลเวลา
การเป็นนาฬิกาหรูสำหรับผู้หญิงยุคแรกคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากนัก แนวคิดที่เกิดจากไอเดียนอกกรอบในการ “ปลดปล่อยอิสระ” ให้กับเพชรจากการถูกประดับหรือใช้งานในรูปแบบเดิมของ Caroline Scheufeule ประธานบริหารร่วมแห่ง Chopard นำเสนอการสร้างสรรค์ที่ทำให้ทั้งอุตสาหกรรมนาฬิกาต้องตกตะลึงในตอนที่เปิดตัวเรือนเวลารุ่นนี้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1993 ในฐานะนาฬิกาเรือนแรกที่ผมผสานระหว่างวัสดุเหล็ก และเพชร
Credit: Chopard
Happy Sport คือนาฬิกาหรูผู้หญิงที่สื่อความหมายถึงอิสระของผู้หญิง และนับจนถึงตอนนี้ยังคงเป็นนาฬิการุ่นเดียวที่มีการตกแต่งแบบ Dancing Diamond ที่ปล่อยให้เพชรเคลื่อนไหวอย่างอิสระบนหน้าปัด จนกลายเป็นนาฬิกาที่สุภาพสตรีทุกคนโปรดปรานไม่ว่าจะในปัจจุบันหรืออนาคต ด้วยความหรูหราที่สามารถใช้งานในชีวิตประจำวัน Happy Sport นับเป็นผลงานที่ปฏิวัติการสร้างสรรค์นาฬิกา พร้อมก้าวขึ้นเป็นสัญลักษณ์แห่งเรือนเวลาด้วยตัวเอง
ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา Happy Sport ยังคงเป็นนาฬิกาที่ได้รับความชื่นชมจากสุภาพสตรีผู้ที่ต้องการมากกว่าความหรูหราของนาฬิกา แต่นำเสนอจิตวิญญาณที่มีเอกลักษณ์จากจุดกำเนิด และความสุขในชีวิตแบบ ‘Joie de Vivre’ เหมือนที่ Caroline Scheufele สร้างจินตนาการของผู้หญิงที่เป็นตัวแทนจาก Chopard
ความจริงที่ว่าผู้คนมากมายรู้จักนาฬิกา Crazy Hours แม้ว่าจะไม่คุ้นเคยกับแบรนด์ Franck Muller สามารถบอกอะไรได้มากมายเกี่ยวกับนาฬิกาที่เป็นสัญลักษณ์เรือนนี้ที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2003 ด้วยแนวความคิดที่ก้าวล้ำของช่างทำนาฬิกาอัจฉริยะ Franck Muller ที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงวันหยุดพักร้อน โดยเป็นการทำลายกฏเกณฑ์ทุกข้อ พร้อมนำเสนอการสร้างสรรค์ที่สร้างอิทธิพลสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของการผลิตนาฬิกา ไม่เพียงตัวเลขหลักชั่วโมงที่เหมือนถูกวางเรียงตามใจชอบบนหน้าปัดเท่านั้น แต่ภายในตัวเรือนยังมีการตีความที่น่าสนใจของระบบกลไกที่ซับซ้อนเพื่อควบคุมการกระโดด Jumping Hours อีกด้วย
Credit: Franck Muller
ในอีกด้านหนึ่งเข็มนาทีมีการเคลื่อนไหวตามแบบดั้งเดิม แต่เข็มชั่วโมงจะเคลื่อนไหวเหมือนกำลังร่ายรำรอบหน้าปัดเพื่อตามตัวเลขชั่วโมงที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติซึ่งจัดวางในตำแหน่งอย่างไม่เป็นแบบแผน นำเสนอการตีความแนวคิดเรื่องเวลาเชิงนามธรรมที่ไร้กฎเกณฑ์ นับเป็นการปฏิวัติ และสร้างนวัตกรรมเรือนเวลาให้กลายเป็นหนึ่งในผลงานที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของการผลิตนาฬิกาจนถึงปัจจุบัน และคงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายว่าทำไมนาฬิกาผู้ชาย Franck Muller Crazy Hours ถึงกลายเป็นนาฬิกาที่อยู่ในลิสต์อันดับต้นๆ ของนักสะสมทั่วโลกที่ต้องการ
อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของ Franck Muller คือตัวเรือน Cintrée Curvex รูปทรงถังเบียร์ (Tonneau-shaped) ที่สร้างความฮือฮาในอุตสาหกรรมนาฬิกาในตอนเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1992 ความพิถีพิถันในการสร้างสรรค์ และขั้นตอนที่ซับซ้อนในการผลิตตัวเรือนรูปทรงโค้งมนแบบ 3 มิติ เพื่อสร้างความสบายเวลาสวมใส่บนข้อมือ ก่อนที่จะพัฒนาสู่ตัวเรือนแบบ Vanguard ที่เป็นการผสมผสานระหว่างความสปอร์ตแบบดั้งเดิม และเพิ่มโทนสีให้เหมาะกับยุคสมัย โดยสามารถรักษาดีเอ็นเอหลักของ Franck Muller เอาไว้
Credit: Franck Muller
ตามปกติสุภาพสตรีจะมีข้อมือที่เล็ก ทำให้บางครั้งเป็นเรื่องยากที่จะหานาฬิกาที่มีขนาดพอดี โดยเฉพาะความโค้งมน และความยาวของรูปทรง อย่างไรก็ตามด้วยความเชี่ยวชาญในตัวเรือน Tonneau-shaped ทำให้ Franck Muller ประสบความสำเร็จกับการสร้างโมเดล Vanguard เพื่อให้เหมาะสมกับขนาดข้อมือที่แตกต่าง
ความสปอร์ต, โดดเด่น และสง่างามที่ถูกรวมไว้ในคอลเลกชั่นนาฬิกาหรูผู้หญิง Vanguard Lady Classic ทำให้มีความน่าหลงใหลตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น และเป็นนาฬิกาหรูที่มีเอกลักษณ์ออกแบบมาเพื่อผู้หญิงยุคใหม่โดยเฉพาะ
ค้นหานาฬิกายอดนิยมหลากหลายรุ่นผ่านทางออนไลน์หรือที่บูติกของ Cortina Watch ทุกแห่งใกล้คุณ