นาฬิกาดำน้ำระดับหรูจาก OMEGA และ Bell & Ross

Snapinsta.app 398172735 18394492744058234 6886923677053592503 N 1080

ปฏิเสธไม่ได้ว่า นาฬิกาสปอร์ต คือ กลุ่มนาฬิกาที่ครองใจคนรักนาฬิกาทั่วโลก เพราะนอกจากจะมีรูปทรงที่สวยงามแล้ว ยังสามารถสวมใส่ได้ทุกโอกาส โดยที่คุณไม่จำเป็นจะต้องเป็นนักดำน้ำมืออาชีพก็ได้ นอกจากนั้น ในกลุ่มของแบรนด์ระดับหรูเอง นาฬิกาดำน้ำของพวกเขามักจะถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยที่ไม่ได้เน้นเฉพาะในเรื่องของประโยชน์ในการใช้งานเท่านั้น แต่ยังคำนึงความสวยงามในการขัดแต่งทุกรายละเอียด การเลือกใช้กลไกชั้นเยี่ยมที่มีความเที่ยงตรง และที่ขาดไม่ได้คือ การออกแบบที่มีเอกลักษณ์

Bell & Ross และ OMEGA นับเป็นนาฬิการะดับหรูที่มีเรือนเวลาที่น่าสนใจ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อรองรับกับความต้องการของตลาดทั้งในกลุ่มลูกค้าทั่วไป และนักดำน้ำมืออาชีพ จึงถือเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่าง Fashion และ Function ได้เป็นอย่างดี

สำหรับ OMEGA นั้นถือว่าพัฒนานาฬิกาดำน้ำของตัวเองมานานนับตั้งแต่พวกเขาริเริ่มการพัฒนานาฬิกาที่มีความสามารถในการกันน้ำขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1930 จนกลายมาเป็นการสร้างสรรค์นาฬิกาดำน้ำโดยเฉพาะที่มีชื่อว่า Seamaster ซึ่งเปิดตัวรุ่นแรกในปี 1948 และทำตลาดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันด้วยรุ่น Seamaster ที่มีการแยกย่อยออกมาเป็นทั้ง Aqua Terra, Seamaster Diver 300M, Seamaster Planet Ocean, Seamaster Vintage หรือ Seamaster Ploprof

ขณะที่ Bell & Ross คือ น้องใหม่ในตลาดกลุ่มนี้ เพราะแรกเริ่มเดิมทีของการพัฒนาแบรนด์ในปี 1992 คอนเซ็ปต์ของพวกเขาคือ ความเกี่ยวพันกับเรื่องอากาศยานด้วยการนำดีไซน์ของมาตรวัดในเครื่องบินขับไล่มาใช้ในการออกแบบตัวเรือน ทำให้ในยุคแรกของการพัฒนาคือ การผลิตนาฬิกาที่เกี่ยวพันกับเรื่องการบิน จนกระทั่งในปี 1997 เราจึงได้เห็นพวกเขาผลิตนาฬิกาดำน้ำออกมาพร้อมกับทำสถิติการกันน้ำชนิดที่ได้รับการบันทึกใน Guinness Book World of Records ด้วยรุ่น Hydromax ที่สามารถกันน้ำได้ถึง 11,000 เมตร จนนำไปสู่การผลิตนาฬิกาดำน้ำในสายการผลิตเมื่อปี 2002 ก่อนที่ประวัติศาสตร์จะบันทึกอีกครั้งว่าพวกเขาคือ แบรนด์แรกที่ผลิตนาฬิกาดำน้ำทรงเหลี่ยมที่มีความสามารถกันน้ำในระดับ 300 เมตร นั่นคือ BR 03-92 Diver ซึ่งเปิดตัวออกสู่ตลาดในปี 2017

สำหรับใครที่กำลังมองหานาฬิกาดำน้ำระดับหรูที่มีเอกลักษณ์ และมีสตอรี่ที่น่าสนใจ นี่คือ 5 นาฬิกาดำน้ำจาก OMEGA และ Bell & Ross ที่คุณไม่ควรพลาด

Omega Seamaster Planet Ocean 6000m Ultra Deep At Cortina Watch Wristshot 768x614 1

OMEGA Seamaster Planet Ocean Ultra Deep: ที่สุดแห่งความลึกของการดำดิ่งสู่ใต้ท้องทะเลที่มาจากการพัฒนาผ่านองค์ความรู้ชั้นเยี่ยมของ OMEGA จากโปรเจ็กต์ Five Deep Expedition ที่พวกเขาเข้าร่วมในปี 2019 คงต้องบอกว่าด้วยตัวเลข 6,000 เมตรนั้น ทำให้ ณ ตอนนี้ Seamaster Planet Ocean Ultra Deep คือ นาฬิกาที่ถูกผลิตในเชิงพาณิชย์ซึ่งมีตัวเลขกันน้ำสูงที่สุด

นาฬิกาถูกเปิดตัวออกมาทั้งหมด 7 รุ่นย่อยที่มีทั้งตัวเรือนที่ผลิตจากสแตนเลสสตีล และไทเทเนียมเกรด 5 ซึ่งในรุ่นสตีลนั้นถูกผลิตจากวัสดุที่เรียกว่า O-MEGASTEEL ซึ่งเป็นวัสดุที่ถูกพัฒนาให้มีความแข็งแรง และทนทานต่อการกัดกร่อนจากการใช้งานทางทะเล ขณะที่รุ่นไทเทเนียมมีความพิเศษกับตัวเรือนที่ถูกออกแบบให้เป็นแบบ MANTA Lugs ซึ่งตัวขาสายจะมีความโค้งงอเข้าหากัน แต่จะเหลือช่องว่างเอาไว้สำหรับใช้ในการถอดเปลี่ยนสายออก ซึ่งรูปทรงลักษณะนี้คล้ายกับส่วนปากของปลากระเบน Manta โดยในรุ่นนี้จะมาพร้อมกับสาย NATO สีพิเศษ

ทุกรุ่นจะมาพร้อมกับกลไกรหัส 8912 แบบอัตโนมัติพร้อม Co-Axial เดินด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง และมีความเที่ยงในระดับสูงกว่า Chronometer หรือที่เรียกว่า Master Chronometer ที่ผ่านการรับรองโดย METAS และสามารถสำรองกำลังงานได้ 60 ชั่วโมง ตัวใยนาฬิกาหรือ Balance Spring ผลิตจากซิลิคอน Si14 ทำให้มีความทนทานต่อสนามแม่เหล็กได้ในระดับ 15,000 Gauss

Omega Seamaster Diver 300m Co Axial Master Chronometer 43 5 Mm 21092442001003 Portrait 2 B5685c 11zon

OMEGA Seamaster Diver 300M Black Ceramic: นาฬิกาสุดคลาสสิคที่สร้างชื่อให้กับ OMEGA อย่างมาก และเป็นอีกรุ่นที่ถูกจดจำจากคนทั่วโลกได้ดีไม่แพ้ Speedmaster ในฐานะ Bond’s Watch เพราะเมื่อนาฬิกาเรือนนี้เปิดตัวครั้งแรกในปี 1993 นาฬิกาเรือนนี้ได้โลดแล่นอยู่บนข้อมือของ James Bond คนใหม่ที่ชื่อว่า Pierce Brosnan ในตอนแรกที่เขารับบทนี้ นั่นคือ Goldeneye และหลังจากนั้นนาฬิการุ่นนี้ก็กลายเป็นนาฬิกาคู่กายของยอดสายลับนี้มาโดยตลอด

นาฬิการุ่นใหม่ล่าสุดมีการปรับปรุงไซส์และสเป็กให้ดีขึ้นจากรุ่นดั้งเดิม โดดเด่นในด้านวัสดุศาสตร์ กับตัวเรือนแบบ Black Ceramic ที่มีความเบาและแข็งแกร่ง ขณะที่ตัวเรือนมีขนาดเพิ่มขึ้นจากรุ่นมาตรฐานอีกเล็กน้อย โดยอยู่ที่ 43.5 มิลลิเมตร ฝาหลังแบบใสมาพร้อมกับนวัตกรรมที่เรียกว่า NAIAD Lock ซึ่งหมายความว่าเวลาขันฝาหลังตัวหนังสือที่อยู่บนฝาหลังจะถูกหมุนมาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ไม่กลับหัวกลับหาง และด้วยฝาหลังที่ใส ทำให้เราสามารถมองเห็นการขัดแต่งอย่างสวยงามของกลไกอัตโนมัติในรหัส OMEGA 8806 ที่มีความเที่ยงตรงในระดับ Master Chronometer และมีกำลังสำรอง 55 ชั่วโมง ส่วนการกันน้ำอยู่ที่ 300 เมตร

 

Snapinsta.app 345151724 1211022352936646 9153450147788289532 N 1080

OMEGA Aqua Terra Shades: สีสันที่อยู่บนหน้าปัด แสดงให้เห็นถึงการไม่หยุดนิ่งในการพัฒนานาฬิกาสปอร์ตให้มีเสน่ห์มากขึ้น และ Aqua Terra Shade มาพร้อมกับหน้าปัดที่มีสีสันสวยงามให้เลือกหลากหลายแบบบนขนาดตัวเรือนที่มีทั้ง 34 มิลลิเมตรสำหรับสุภาพสตรี และ 38 มิลลิเมตรสำหรับสุภาพบุรุษ

ในรุ่นตัวเรือนขนาด 38 มิลลิเมตรจะมีด้วยกัน 5 สี คือ สีน้ำเงิน Atlantic Blue, สีเขียว Bay Green, สีน้ำตาลอ่อน Sandstone, สีเหลืองทอง Saffron และสีแดง Terracotta ขณะที่รุ่นตัวเรือน 34 มิลลิเมตรจะมากับ 5 สีใหม่เช่นกัน โดย 3 สีแรกจะคล้ายกันแต่มีชื่อเรียกต่างกัน คือ สีน้ำเงิน Sea Blue, สีเขียว Lagoon Green และสีน้ำตาลอ่อน Sandstone แลแตกต่างออกไป 2 สีคือ Shell Pink และสีม่วงอ่อนแบบ Lavender Dial

หน้าปัดทั้งหมดถูกผลิตจาก Brass พร้อมกับการเคลือบแล็คเกอร์ และผ่านกรรมวิธีเคลือบสีหรือ PVD ลงไปเพื่อให้ได้สีตามที่ต้องการ ยกเว้นรุ่น Terracotta ที่ต้องใช้กรรมวิธีพิเศษที่เรียกว่า CVD (Chemical Vapour Deposition) ถูกบรรจุลงในตัวเรือนที่ผลิตจากสแตนเลสสตีล และขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติ OMEGA 8800 ความเที่ยงตรงในระดับ Master Chronometer และมีกำลังสำรอง 55 ชั่วโมง และแม้จะดูเหมือนนาฬิกาแฟชั่น แต่กลับมีความสามารถในการกันน้ำในระดับ 150 เมตร

Omega Seamaster Aqua Terra 150m Co Axial Master Chronometer Gmt Worldtimer 43 Mm 22012432203001 Portrait 2 05f4dc 11zon

OMEGA Seamaster Aqua Terra Worldtimer Summer Blue Collection: นาฬิกาตระกูล Seamaster ที่ถูกออกแบบมาเพื่อนักเดินทางด้วยการเติมฟังก์ชั่น Worldtimer สำหรับดูเวลาทั่วโลก โดยเวอร์ชั่นนี้เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2020 แต่มีการเปิดตัวรุ่นย่อยที่น่าสนใจออกมาอย่างต่อเนื่อง และ Summer Blue Collection ถือเป็นรุ่นที่น่าสนใจเพราะเป็นการฉลอง 75 ปีของ Seamaster

ความพิเศษคือ หน้าปัดสีน้ำเงินที่ไล่เฉดตามระดับความลึกที่นาฬิการุ่นนั้นๆ และผ่านกรรมวิธีเคลือบอย่างพิถีพิถันจนทำให้มีมิติความลึกได้เป็นอย่างดี อีกทั้งทุกเรือนในเซ็ตจะมาพร้อมกับฝาหลังที่ระลึกของโอกาสพิเศษนี้ โดยในช่วงทศวรรษที่ 1950 ทาง OMEGA ต้องการสัญลักษณ์ที่จะเป็นตัวแทนของคอลเลคชั่น Seamaster

Aqua Terra Worldtimer ขนาด 43 มม. นำเสนอทิวทัศน์ของโลกผ่านสีสันต่างๆ รุ่นนี้ถูกรังสรรค์จากสแตนเลสสตีลและมาพร้อมกับสายนาฬิกาโลหะที่เข้าคู่กันหรือสายนาฬิกายางสีน้ำเงิน ประดับรอบหน้าปัดด้วยรายชื่อจุดหมายปลายทางรอบโลกที่พิมพ์ด้วยสีเงิน หน้าปัดด้านในและด้านนอกถูกคั่นด้วยกระจกเฮซาไลต์ที่แสดงการบอกเวลาแบบ 24 ชั่วโมง โดยสีน้ำเงินอ่อนจะบอกถึงกลางวันและสีน้ำเงินเข้มหมายถึงเวลาช่วงกลางคืน โดยพื้นผิวของโลกถูกจำลองลงบนไทเทเนียมเกรด 5 ที่ผ่านการระเหยด้วยเลเซอร์และลงสี เผยให้เห็นถึงมหาสมุทรสีน้ำเงินและผืนทวีปที่นูนต่ำ

ขับเคลื่อนด้วยกลไก Co-Axial Master Chronometer Calibre 8938 ที่ได้มาตรฐานสูงสุดด้านความเที่ยงตรงตามที่กำหนดโดย Swiss Federal Institute of Metrology (METAS) เรือนเวลายังสามารถทนทานต่อความลึกได้ด้วยคุณสมบัติการกันน้ำที่ 15 บาร์ (150 เมตร/ 500 ฟุต)

 

Snapinsta.app 398105646 18394273360058234 1761740932177402419 N 1080

Bell & Ross BR03-92 Diver Tara: ความพิเศษของนาฬิการุ่นล่าสุดจาก Bell & Ross ที่จับมือร่วมกับ Tara Ocean Foundation เป็นมูลนิธิเพื่อสาธารณประโยชน์แห่งแรกในฝรั่งเศสที่อุทิศตนเพื่อมหาสมุทร โดยนำเสนอผ่านทางนาฬิกาดำน้ำรุ่นพิเศษ BR03-92 Diver Tara ซึ่งมีการผลิตออกสู่ตลาด 999 เรือน

ตัวเรือนทรงเหลี่ยมขนาด 42 มิลลิเมตรที่ผลิตจากเซรามิกสีน้ำเงิน และมาพร้อมกับขอบตัวเรือนเป็นสีทูโทนระหว่างสีส้มและสีน้ำเงิน เพื่อเพิ่มความสะดวกในการมองเห็น โดยเฉพาะในการจับเวลา รวมถึงเข็มวินาทีที่เป็นสีส้มสวยงาม มีให้เลือกทั้งสายยางสีน้ำเงินและสายเปลี่ยนอีกเส้นที่เป็นสีส้ม

กลไกที่ประจำการอยู่ในตัวนาฬิกา เป็นรหัส BR-Cal.302 ที่มีพื้นฐานมาจาก Selitta SW-300-1 เดินด้วยความถี่ในระดับ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง และมีกำลังสำรองอยู่ที่ 38 ชั่วโมง พร้อมความสามารถในการกันน้ำ 300 เมตร